แต่ในวันเดียวกันที่จังหวัดอุดรธานี กลุ่มพันธมิตรฯอุดรธานีได้จัดตั้งเวทีปราศรัยและจอโปรเจกต์เตอร์ขึ้น ได้ถูกกลุ่มชมรมคนรักอุดร ซึ่งนำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา นักจัดรายการวิทยุท้อง ถิ่นยกพวกร่วม 1,000 คน พร้อมอาวุธครบมือ ไปรื้อทำลายเวทีและทำร้ายผู้ร่วมชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน และมีอยู่หนึ่งคนที่สาหัสจนต้องเข้าห้องไอซียู เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้มีตำรวจในพื้นที่ยืนดูอยู่เฉย ๆ ขณะที่จังหวัดบุรีรัมย์, จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดยโสธร ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้คล้าย ๆ กัน
เช้าวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 มีกลุ่มผู้คนประมาณ 80 คนอ้างตัวว่าเป็นพันธมิตรฯ บุกเข้าไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) แล้วยึดไว้ ในช่วงเวลาประมาณ 05.30 น.แต่หลังจากนั้นก็ถูกจับกุมและสถานีก็สามารถออกอากาศได้ตามปกติ ต่อมากลุ่มพันธมิตรฯได้บุกเข้าไปในสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) อีกครั้ง โดยมีเป้าหมายในการนำสัญญาณโทรทัศน์ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี มาออกอากาศในคลื่นความถี่โทรทัศน์ของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยแทน แต่ทำไม่สำเร็จ โดยทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยต้องย้ายไปออกอากาศที่กองบังคับการตำรวจจราจร และสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5แทน
ต่อมากลุ่มพันธมิตรฯ ได้ประกาศเป่านกหวีดเผด็จศึกกับรัฐบาล และเคลื่อนตัวออกจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ มุ่งหน้าไปที่กระทรวงหลายแห่งรวมทั้งทำเนียบรัฐบาล จนสามารถบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลได้ ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องไปประชุมกันที่กองบัญชาการทหารสูงสุด และที่นั่นเอง นายสมัคร สุนทรเวช ได้มอบอำนาจการจัดการกับผู้ชุมนุมให้กับ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมต.มหาดไทย ซึ่ง พล.ต.อ.โกวิท ก็ได้ประกาศว่า จะสลายการชุมนุมในเวลา 18.00 น. ของวันนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังที่อ้าง
ช่วงค่ำนายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัยว่าทางรัฐบาลจะขอศาลออกหมายจับ 5 แกนนำ และผู้ประสานงานในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดตกลงกันแล้วว่าจะยอมให้จับโดยดีและมีความเป็นไปได้ที่ศาลจะไม่ ให้ประกันตัว
ศาลอนุมัติหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรฯ
วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 16.00 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องขออนุมัติออกหมายจับ
* สนธิ ลิ้มทองกุล
* พลตรีจำลอง ศรีเมือง
* พิภพ ธงไชย
* สมศักดิ์ โกศัยสุข
* สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
* สุริยะใส กตะศิลา
* เทิดภูมิ ใจดี
* อมร อมรรัตนานนท์
* ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
ผู้ต้องหาที่ 1-9 ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี มาตรา 114, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแล้วไม่เลิก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 215 และ 216
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด!
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182(7) เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่านายสมัครกระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี จึงทำให้นายสมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551 นายสมัครยังได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนอย่างไม่เป็นทางการ (ยังไม่มีเอกสารยื่นใบลาออก) โดยให้เหตุผลว่า ได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคและรักษาระบอบประชาธิปไตยอย่างดีที่สุดแล้ว จึงขอยุติบทบาททางการเมือง ส่วนการดำเนินการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ให้ขึ้นอยู่กับพรรค
และในวันที่17 กันยายน 2551 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้รับการคัดเลือกจากสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยผลการลงคะแนนปรากฏว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ 298 เสียง ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ 163 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ทำให้นายสมชาย ได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ จึงได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย
นับตั้งแต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่นายสมัคร รัฐบาลมีท่าทีเจรจาสมานฉันท์กับฝ่ายพันธมิตรฯ โดยได้แต่งตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรองนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะมาทำหน้าที่เจรจากับทางพันธมิตรโดยเฉพาะ ซึ่งทางฝ่ายพล.อ.ชวลิตเองก็ได้ยอมรับในเรื่องนี้ โดยส่ง พล.ท.พิรัตน์ สวาพิรัตน์ นายทหารคนสนิทไปคุยเจรจากับพล.ต.จำลอง ถึงที่ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล
แต่ในศุกร์ที่ 3 ตุลาคม เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำ 9 คน ที่ถูกหมายจับข้อหาเป็นกบฏ ได้เดินทางไปที่บ้านของนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินทางกลับด้วยรถยนต์ ขณะที่อยู่บนทางด่วน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับโดยกระชากตัวลงมาจากบนรถเลย โดยนายตำรวจคนที่รับหน้าที่นี้มีชื่อว่า พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี การจับกุมเริ่มขึ้นจากนายไชยวัฒน์ออกเดินทาง จากที่ชุมนุม ซึ่งตำรวจได้ตามประกบไปตั้งแต่ที่นายไชยวัฒน์เสร็จสิ้นการปราศรัยที่ทำเนียบ รัฐบาล ในช่วงบ่าย ก่อนหน้านั้น ในช่วงการจับกุมได้มีการต่อรอง ว่า จะนำมาสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง แต่ระหว่างที่ขึ้นทางด่วน นายไชยวัฒน์ได้ขับรถส่วนตัว โดยมีตำรวจนั่งประกอบ และมีรถตำรวจอีกจำนวนหนึ่งตามหลัง เมื่อมาถึงทางแยกระหว่างไปทางแจ้งวัฒนะ และ ยมราช ตำรวจได้บังคับให้หยุดรถและฉุกกระชาก นายไชยวัฒน์ ลงมาจากรถ และนำขึ้นรถตำรวจอีกคันแล้วขับตรงไปทางแจ้งวัฒนะ และนำตัวไปกักขังไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 คลอง 5 ปทุมธานี แต่นายไชยวัฒน์ยังมีขวัญกำลังใจดีอยู่และฝากบอกมาว่าไม่ต้องประกันตัว ซึ่งปฏิกิริยาของทางฝ่ายพันธมิตรฯระบุว่า รัฐบาลไม่มีท่าทีที่จะสมานฉันท์จริง และเป็นไปได้ว่าอาจเรียกชุมนุมใหญ่อีกครั้ง
ตกเย็นแกนนำ พธม.ประชุมกันอย่างเคร่งเครียด โดยมีการคาดการว่า จะมีการบุกเข้ามาจับ ตนเองภายในทำเนียบ จึงได้ใช้ปรากฏการณ์ "โล่มนุษย์"
และในเช้าวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ออกจากที่ชุมนุมเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งของตนที่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ถนนพระราม 5 เขตดุสิต ขณะที่หย่อนบัตรลงหีบเรียบร้อยแล้วก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรจเข้าจับกุมและนำ ไปควบคุมตัวที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 อันเป็นที่เดียวกับนายไชยวัฒน์ โดยก่อนหน้านั้น พล.ต.จำลองได้เขียนจดหมายทิ้งไว้หนึ่งฉบับและย้ำให้เปิดอ่านหลัง 09.00 น. ซึ่งนางสาวอัญชลี ไพรีรัก ซึ่งทำหน้าที่พิธีกรบนเวทีก็ได้เปิดอ่านหลังจากนั้น โดยมีข้อความในจดหมายว่า
เรียน คุณอัญชลี คุณกมลพร หรือพิธีกรคนอื่นๆ กรุณาอ่านทุกถ้อยคำ อย่าให้ตกหล่น อ่านออกสำเนียงเสียงพูด พันธมิตรฯ ทุกท่าน ในการปราศรัย เราต่างมาชุมนุมเพื่อใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ เราต่างมาทำบุญเพื่อประเทศไทย และใช้หนี้แผ่นดิน เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกๆ คนที่เกิดมา ก่อนตายต้องชดใช้บุญคุณแผ่นดิน ไม่ว่าการณ์สิ่งใดจะเกิดขึ้นขอให้ทุกคนจงจดจำไว้ว่า หน้าที่ของพลเมืองไทย คือ รับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมจำลอง ศรีเมือง อยากย้ำเตือนคนไทยว่า เราต่างเกิดมาพร้อมหน้าที่ ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว ยากดีมีจน เรามีหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดิน
หลังจากถูกจับกุมแล้ว พล.ต.จำลองแสดงความจำนงว่าไม่ต้องการรับประกันตัว เนื่องจากเป็นหมายจับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งปฏิกิริยาต่าง ๆ ของสังคมหลังจากทราบข่าวก็ได้แสดงความเป็นห่วงในสถานการณ์ และหลายฝ่ายก็คาดว่าเหตุการณ์จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งทางกลุ่มแนวร่วมของพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากต่างจังหวัดก็ได้ทยอย เดินทางมุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานครทันที
ระหว่างนี้รายการความจริงวันนี้ ที่ออกช่องNBTก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนได้เกิดความคิดที่จะจัดรายการความจริงวันนี้สัญจรขึ้น และพวกเขาก็ทำได้จริงๆ...
ในที่สุดก็อย่างที่ท่านเห็นกัน คือ NBT ถูกเปลี่ยนชื่อ รัฐเข้าครอบงำ, รายการความจริงวันนี้เปลี่ยนหน้าตา ยกระดับขึ้นมาอย่างใหญ่โต , เกิดกลุ่มแดงต่างๆมากมายทั่วทุกหัวระแหง, มีการทำงานใต้ดิน, บนอากาศ,ผ่านใยแก้ว สาระพัดทางต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และ...เพื่อทวงคืนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ.....
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น