วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
แม่ทัพภาค 1 เชื่อทหารมีจิตวิญญาณ ไม่ร่วมขบวนการทำร้ายชาติ
แม่ทัพภาค 1 เชื่อทหารมีจิตวิญญาณ ไม่ร่วมขบวนการบ่อนทำลายชาติ ย้ำทหารที่ไปร่วมเสื้อแดงไม่ใช่ทหารอาชีพ แต่ที่สุดแล้วเคารพสิทธิของทุกฝ่าย ไม่ก้าวก่ายความคิดส่วนตัวใคร แค่อยากให้คำนึงถึงสถานะที่เป็นอยู่ ไม่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน
วันนี้ (10 ธ.ค.) ที่ตำหนักพระแม่กวนอิม ย่านลาดพร้าว พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ว่า การทำบุญครั้งนี้เป็นการสวดของทุกศาสนา เพื่อสวดถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือเป็นงานมหากุศลอย่างยิ่ง ชาวไทยทุกคนร่วมใจกันในการทำจิตใจให้เป็นกุศลและถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ทั้งนี้ คนไทยทุกหมู่เหล่าไม่ว่าจะมีความคิดทางการเมืองรูปแบบไหนอย่างไร ถ้าเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่านที่ทรงมีพระเมตตา คิดว่า ทุกคนคงกระทำความดี สมานฉันท์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สิ่งที่สำคัญคือทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุข เพื่อให้พระองค์ท่านมีความสุขในสิ่งที่ท่านปรารถนา
เมื่อถามถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ท.คณิต กล่าวว่า ถือเป็นการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิของเขาที่จะชุมนุมภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ คงไม่ใช่เรื่องแปลก คิดว่าไม่น่ามีเหตุการณ์อะไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นเจ้าหน้าที่หลักในการดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนกองทัพภาคที่ 1 ได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้เตรียมกำลังเพื่อช่วยตำรวจตาม การร้องขอ ซึ่งเรามีแผนต่างๆ อยู่แล้ว แต่จากการติดตามสถานการณ์ไม่น่ามีปัญหาอะไรจากกลุ่มผู้ชุมนม แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากคนอื่นหรือรอบข้างบ้าง แต่เราช่วยกันดูแลอยู่ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบอะไร
เมื่อถามถึงกรณีทหารบางส่วนออกมาเคลื่อนไหวการเมือง จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์กองทัพหรือไม่ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกให้ออก อย่างตนยืนตรงนี้ สถานะของตนคือ ทหาร เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และอีกสถานะหนึ่งเป็นประชาชนคนไทย ดังนั้น การดำเนินการใดๆก็ตาม หากตนบอกว่า พูดในฐานะความคิดเห็นส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวอยู่ในอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานหรืออาชีพ ดังนั้น การพูดหรือแสดงอะไร ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เราเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เราทำงานอยู่ การกระทำใดๆ ก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าไม่ใช่เป็นทหารอาชีพที่จะออกมาทำในสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นสถานะที่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวของเขา แต่ความคิดเห็นส่วนตัวต้องไม่นำสถานะอาชีพเข้ามาเกี่ยวข้องให้เกิดความเสีย หาย
เมื่อถามว่า กองทัพภาคที่ 1 ได้ตรวจสอบว่ามีทหารพรานมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ พล.ท.คณิต กล่าว่า ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 มีกรมทหารพราน 3 กรม ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่มีปัญหา และได้รับการยืนยัน จากตัวทหารพรานเอง อย่าลืมว่าทหารพรานเป็นนักรบประชาชน เป็นประชาชนที่อาสาสมัครมาทำงานเสียสละเพื่อประเทศชาติ ได้พลีชีพและทำทุกอย่างในการป้องกันประเทศชาติ และที่สำคัญเป็นคนกล้า ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คิดว่า ในความรู้สึกและจิตวิญญาณในความเป็นทหารพรานรักประเทศชาติ และไม่แสดงออกอะไรที่ทำให้เกิดการบ่อนทำลายประเทศชาติ
เมื่อถามว่า การที่อดีตทหารพรานมาร่วมชุมนุมเหมาะสมหรือไม่ พล.ท.คณิต กล่าว่า ถ้าเป็นอดีตทหารพราน คือ ความเห็นส่วนตัว แต่ถ้าเป็นทหารพรานที่อยู่ในวิชาชีพก็ไม่สมควร ทั้งนี้ คนเราอยู่ในสองสถานะ คือ ความเป็นตัวของตัวเอง และอีกสถานะคือ อาชีพการงาน ดังนั้น การทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ายังมีอาชีพการงานอยู่ ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เรายึดถือเป็นหลัก
เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พล.ท.คณิต กล่าวว่า ไม่มีความเห็น ต้องเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาระดับบน เมื่อถามว่า หวั่นหรือไม่ว่าทหารจะชนกันเอง พล.ท.คณิต กล่าวว่า “ถ้าเล่นฟุตบอลก็ชนกันบ่อย”
http://www.manager.co.th/politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000150915
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
7 ปีชัดเจน...คนเล่นละคร คือกษิตและรัฐบาลไทยต่างหาก.. แต่เขมร ไม่เล่นด้วย
เรื่องทั้งหมด เป็นการสร้างหนัง สร้างละคร กันจริงๆ
ทำไมกษิตโดดประชุม ระดับชาติ
เพียงแค่ ได้ข่าวว่า สายลับที่ส่งไป ถูกจับ
แล้วก็ฉากแรก ไม่สมบทบาท เล่นไม่เนียน ถูกผู้ชมจับได้
ฉากต่อมา ผู้กำกับมือทองกษิต พยามตัดบท บอกว่า สายลับถูกแกล้ง
จากเขมร เพื่อหาเรื่อง จับคนไทย กะว่าจะเพิ่มบทแทรก เพื่อให้คนไทย
คลั่งชาติ ใส่เอฟเฟ็ค สร้างภาพเสมือนจริง ระดับฮอลลีวูดส์ ทำให้คนไทย
ชื่นชมในความสมจริงกันทั้งประเทศ มีการบอกต่อปากต่อปาก เพื่อให้ที่ไม่รู้
อยากไปดู กะว่า ทำเงินถล่มทลายแน่ๆ
ต่อมา นักแสดงกับ สารรูป เอ๊ย ภาพ ก่อนว่า ความจริงเขา ทำตามคำสั่งใครบางคน
จากไทยจริง (ใครละที่ ลนลาน ต๊กกะใจในเรื่องนี้ ก่อนเพื่อน)
ผู้กำกับมือทอง จำต้อง เปลี่ยนบทใหม่ บอกมันแค่ตารางบิน ใครๆ ก็รู้ได้ เป็นเรื่องปกติ
ไม่ใช่เรื่องลับ อะไร ก็แค่คนไทยอยากรู้ว่า ทักษิณและฮุนเซ็นจะไปไหน ด้วยเครื่องบินสายอะไร เวลาเท่าไหร่ ไปที่ไหน มันคือสิ่งที่ กษิต และรัฐบาลไทย น่าจะรู้ได้ ว่างั้น เล่นบทนี้เลย คนจะฆ่ากันวันละ 1 ล้าน 8แสนครั้งต่อวัน(ทุกลมหายใจ) กันแบบนี้ บอกแค่ไทยอยากรู้ จะเป็นไรไป ...
เรื่องนี้ ปัญหามันตอบไม่ได้ ก็คือ ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องเปิดเผย ใครๆก็รู้กัน
มีคนถามต่อ แบบภาษาบ้าน... ถ้าพวกมิงคิดว่า เป็นเรื่องเปิดเผย แล้วพวกมิงส่งสายลับไปทำไม.......ก็ทำเรื่องไปแสดงเจตจำนง จากรัฐบาลไทย ให้เขมร ส่งแผนการบิน ตารางบิน
ทักษิณ มาให้ซิ ทำไมจะทำไม่ได้ ขนาดทำเรื่องส่งตัวตัวทักษิณ ผู้ร้ายข้ามแดน ทำไมทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก ทำจน คนไทยทั้ง 63 ล้านคน ก็พล่อยรู้สึก หน้าจะหนาๆด้านๆ ไปด้วยเลย
แล้วทำไม มิงไม่คิด ทำเรื่อง ขอตารางบินทักษิณ ขณะอยู่เขมร พวงไปกับเรื่องขอส่งตัวทักษิณ ละครับ บักกษิต
เห็นยังว่า ผู้กำกับมือทอง กษิต ฉลาด หรือโง่ กันแน่ ไม่งั้น บักต๋อง ไม้คิว เอ๊ย แผนคงไม่แตก และถูกจับได้ ตกลงวิศวะการบิน เขาไม่รู้เรื่องว่า เป็นเรื่องทำได้ หรือไม่ได้ ขนาดนั้นเลยเหรอ
...ต่อมาฉากต่อมา.. เมื่อ ทำใจดีสู้เสื้อ บอกจะว่ารัฐบาลจะช่วยให้ออกมาให้ได้ ว่างั้น
แต่ผู้กำกับก็รู้ว่า งานนี้ของจริง ฉากจริงๆ มันจะเล่นละครกันไปได้กี่น้ำ
คุณแม่พระเอก เมื่อไปเยี่ยม ได้พบความจริงว่า ฉากที่ลูกได้รับ ถูกกำกับมาจริง แบบไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทน ไม่ต้องใช้สริง เรียกว่า เล่นจริง เจ็บจริง ถูกจับจริงๆ น่ะซิ
คุณแม่ก็ต้อง หยุดการดำเนินการใด ๆ ตามผู้กำกับมือทองจากไทย แจ้งมานั้นเอง รู้อะไรเป็นอะไร อยู่ไทยเหมือนอยู่ใน ถ้ำ ไปเขมรทีไร เหมือนออกจากถ้ำทุกที
ก็ต้องปล่อยไปตามอำนาจศาล ถ้าหลักฐานไม่แน่น จริง ก็ต้องไม่ผิด แต่ สารภาพกันแบบนี้
แค่คำว่า ไม่รู้ว่า เป็นเรื่องผิด และเป็นเรื่องความมั่นคงของแขกบ้านแขกเมือง ของประเทศเขา ชาวบ้านหากินตามชายแดนก็ว่าไปอย่าง นี้ระดับ วิศวะ น่ะ โง่ขนาดนี้เหรอ อะไรประมาณนั้นและครับ แต่ไม่ขอก้าวล่วง อำนาจศาล
ผลตัดสินมา ผิด 7 ปี
ก็แสดงว่า กษิต และรัฐบาลไทย ผิดจริง ทั่วโลกประจักษ์แล้ว
นี้แหละ อุทาเห่าหอน บอกให้รู้ว่า ความเกลียดความแค้น ก็ให้รู้จักยับยั้นบ้าง
คงความเกลียดความแค้น ไว้ที่แผ่นดินตนเอง อยากฆ่า ทักษิณ ปานใด
เกลียดทักษิณ ทั้งรัฐบาล และอำมาตย์ขนาดไหน ก็ขอให้ใหญ่ เก่ง สถุลเอ๊ย
ยิ่งใหญ่แสดงความอำมหิต แต่ฝ่ายในประเทศตนเองก่อน ถ้าทะลึงไป เก่งกับประเทศ
อื่น นี้แหละผลของการเกลียด แค้น ถูกกล่าวหาว่า พวกอำมาตย์และรัฐบาลนี้
ไร้ความยุติธรรม ทุกเรื่อง ถ้าเป็นทักษิณ ก็ช่างมัน เพราะความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ไม่เห็นต้องไป โชว์ความอำมหิต และไร้ความยุติธรรม ไร้มนุษยธรรม ไร้ความเป็นคน ให้นานาชาติ เขา ซาบซึ้งด้วยเลย
เขาเลยรู้เลยว่า ทักษิณ อยู่ไทยไม่ได้ เพราะสาเหตุใด ขนาดอยู่ต่างชาติ มันยังจะฆ่าทิ้งเลย แล้วถ้าอยู่ประเทศไทย ละ
หรือ ทำไมต้องมีเสื้อแดงในประเทศไทย เพราะไร้ความยุติธรรม แบบนี้นี่เอง
หรือ เขาเลยรู้หมดเลยว่า คดีทักษิณผิด มันไม่ใช่ผิดเพราะการเมืองธรรมดาๆ ซะแล้ว
แต่นี้มัน จะเอาชีวิต ให้ตายไปจากโลกใบนี้ชัดๆ
เรียกว่า นานาชาติ เห็นไส้เห็นพุง ทุกกระบวนการต่างๆ และความเป็นอยู่และเป็นไป ในประเทศไทยทั้งหมด
มันตรงข้าม กับข้อมูล ที่รู้ก่อนนี้ ทั้งสิ้น
สิ่งที่เขียนมานี้ ทั้งหมด จะไม่เกิดขึ้น
ถ้าคนทั่วโลก โง่ ไร้การศึกษา ไร้สมอง อย่างคนบางกลุ่มในประเทศไทย
คุณเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่าละ
7 ปี บอกเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาและ ณ ปัจจุบัน และอาจมองถึงวันข้างหน้าได้เลย
ว่าประเทศไทย จะเกิดอะไรขึ้น
วิเคราะห์กันต่อเลย โดยไม่ต้องอาศัย โพลตอแห-ล จากที่ใด
.......kajokkub......../Prachataiwebboard/8/12/09
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552
"เกียรติกร พากเพียรศิลป์" อดีต ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทย !
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันนี้(4 ธ.ค.) นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ อดีต ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกศาลศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106(3) เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้เดินทางมาพรรคเพื่อไทย เพื่อยื่นใบสมัครสมาชิกพรรค โดยนายเกียรติกร กล่าวว่า เหตุผลที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เนื่องจากต้องการยืนยันว่าพรรคนี้เทิดทูนสถาบัน สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตนเคยประกาศไว้เมื่อนานมาแล้วว่า จะไม่ขอเข้าไปเหยียบพรรคนั้นอีก จนถึงปัจจุบันตนก็ยังไม่เคยผิดคำพูด ระยะหลังที่ตนยังทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์มีแต่ความอึดอัดใจ เพราะโดนปิดปากห้ามออกมาให้ข่าว แม้แต่ตนจะแถลงข่าวเรียกร้องให้พรรคซึ่งเป็นรัฐบาลช่วยเหลือประชาชนที่ประสบ ภัยน้ำท่วมก็ยังทำไม่ได้ แสดงถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งตนทราบข่าวมาว่าเป็นรัฐมนตรีที่ควบคุมสื่อเป็นคนกำกับอยู่เบื้องหลัง.
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ด่วน !!! ...สมเด็จฮุนเซ็น พิโรธหนัก..อยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วกับ รธบ ไทย
ฮุนเซนจวกเละ มาร์ค-กษิต ดูหมิ่นกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา"สมเด็จฮุน เซน"ฉุน"อภิสิทธิ์-กษิต"ดูหมิ่นกรณีไม่ส่งตัว"ทักษิณ"ลั่นไม่มีความสุข หากทั้งสองยังอยู่ในอำนาจ ระบุอีกทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยยาก
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อช่วงค่ำวันที่ 30 พ.ย.ว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาวิจารณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า ทั้งสองคน ดูหมิ่นกัมพูชากรณีไม่ยอมส่งมอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ และว่า กัมพูชาจะไม่มีความสุขเลย ถ้านายอภิสิทธิ์ และนายกษิต อยู่ในอำนาจ ทั้งนี้การวิจารณ์ผู้นำไทย เกิดขึ้นระหว่างสมเด็จฮุน เซน ขึ้นกล่าวในพิธีการระดับจังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งข่าวไม่ระบุสถานที่แน่่ชัด
สม เด็จฮุน เซน เผยต่อไปว่าเขาไม่ใช่ศัตรูของคนไทย แต่นายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของไทย ดูถูกกัมพูชาอย่างมาก โดยยังยืนยันจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ฝ่ายไทย เพราะคดีที่ถูกตัดสินผิด เป็นคดีที่มีการเมืองเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ผู้นำกัมพูชา ยังกล่าวตอบโต้อย่างรุนแรงเรื่องที่ไทยขู่จะปิดพรมแดนด้วยว่า ถ้าคุณเป็นคนงี่เง่าและอยากสูญเสียก็จงได้โปรดปิดพรมแดนเถิด
ผู้นำ กัมพูชา ยังเผยด้วยว่า เขาได้แจ้งนายอภิสิทธิ์ว่า กัมพูชา ขอยกเลิกข้อตกลงที่ฝ่ายไทยจะให้กู้เงิน1,400 ล้านบาทเพื่อนำไปสร้างถนนจากพรมแดนไทยและจะทบทวนการกู้เงินอื่นๆของไทยด้วย และยังได้แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์ อีกว่าเขาและประชาชนชาวกัมพูชารู้สึกเจ็บปวด เมื่อได้ยินตอนที่พวกคุณกล่าวถึงเรื่องที่ว่าจะยุติการช่วยเหลือและระงับ เงินกู้ ตอนนี้ ขอให้เลิกพูดลักษณะนี้ได้แล้ว เพราะเป็นคำหยาบคายและเด็กๆพูดกัน เท่าที่เขาทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยมา 10 คน นายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่ทำงานด้วยยากที่สุด.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 30 พฤศจิกายน 2552, 20:50 น.
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา"สมเด็จฮุน เซน"ฉุน"อภิสิทธิ์-กษิต"ดูหมิ่นกรณีไม่ส่งตัว"ทักษิณ"ลั่นไม่มีความสุข หากทั้งสองยังอยู่ในอำนาจ ระบุอีกทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยยาก
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อช่วงค่ำวันที่ 30 พ.ย.ว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาวิจารณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า ทั้งสองคน ดูหมิ่นกัมพูชากรณีไม่ยอมส่งมอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ และว่า กัมพูชาจะไม่มีความสุขเลย ถ้านายอภิสิทธิ์ และนายกษิต อยู่ในอำนาจ ทั้งนี้การวิจารณ์ผู้นำไทย เกิดขึ้นระหว่างสมเด็จฮุน เซน ขึ้นกล่าวในพิธีการระดับจังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งข่าวไม่ระบุสถานที่แน่่ชัด
สม เด็จฮุน เซน เผยต่อไปว่าเขาไม่ใช่ศัตรูของคนไทย แต่นายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของไทย ดูถูกกัมพูชาอย่างมาก โดยยังยืนยันจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ฝ่ายไทย เพราะคดีที่ถูกตัดสินผิด เป็นคดีที่มีการเมืองเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ผู้นำกัมพูชา ยังกล่าวตอบโต้อย่างรุนแรงเรื่องที่ไทยขู่จะปิดพรมแดนด้วยว่า ถ้าคุณเป็นคนงี่เง่าและอยากสูญเสียก็จงได้โปรดปิดพรมแดนเถิด
ผู้นำ กัมพูชา ยังเผยด้วยว่า เขาได้แจ้งนายอภิสิทธิ์ว่า กัมพูชา ขอยกเลิกข้อตกลงที่ฝ่ายไทยจะให้กู้เงิน1,400 ล้านบาทเพื่อนำไปสร้างถนนจากพรมแดนไทยและจะทบทวนการกู้เงินอื่นๆของไทยด้วย และยังได้แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์ อีกว่าเขาและประชาชนชาวกัมพูชารู้สึกเจ็บปวด เมื่อได้ยินตอนที่พวกคุณกล่าวถึงเรื่องที่ว่าจะยุติการช่วยเหลือและระงับ เงินกู้ ตอนนี้ ขอให้เลิกพูดลักษณะนี้ได้แล้ว เพราะเป็นคำหยาบคายและเด็กๆพูดกัน เท่าที่เขาทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยมา 10 คน นายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่ทำงานด้วยยากที่สุด.
ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวต่างประเทศ
* 30 พฤศจิกายน 2552, 20:50 น.
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
“เอนก” ที่มีรากเหง้า-เนื้อในจากพรรคประชาธิปัตย์
มีการปล่อยข่าวเพื่อหาข่าวจากอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เปิดทางให้ “ขุนพล” จากพรรค การเมืองอื่นไหลลื่นเข้าสังกัดตามเกมเก่า
เป็นการปล่อยข่าวเพื่อ “ทุบหุ้น” ที่มีอนาคตบนกระดานที่ชื่อ “ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์”
เป็น “เอนก” ที่มีรากเหง้า-เนื้อในจากพรรคประชาธิปัตย์ผ่านไปแตกกอในพรรคมหาชน และเคยต่อยอดให้กับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และแต่งกิ่งในนามกลุ่มการเมืองหัวกะทิ “กลุ่มรักษ์ไทย”
เมื่อห่างหายจากวงการเมือง “เอนก” ไปต่อยอดในวงวิชาการ ผลิตงานใน “เนื้อเดิม” อันเป็นจุดก่อเกิดก่อนมา งอกเมล็ดงามในพรรคการเมือง
ทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับ “ประชานิยม” หรือ “อภิวัฒน์ท้องถิ่น” อันเป็นการสำรวจทฤษฎีการเมืองเพื่อสร้างท้องถิ่นให้เป็นฐานใหม่ของ ประชาธิปไตย
และผลิตงานวิชาการต่อยอดจากประสบการณ์ตรงจากวงการเมือง ในเนื้อหาที่ว่าด้วย “แปรถิ่น เปลี่ยนฐาน สร้างการปกครองท้องถิ่น ให้เป็นรากฐานของประชาธิปไตย”
กลับจากเวทีปราศรัยหาเสียงในฐานะ “หัวหน้าพรรค” ไปเป็นนักวิชาการสาธารณะ “เอนก” ขึ้นเวทีวิชาการ กล่าวถึง “โอกาสของท้องถิ่น วาระการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ”
ระหว่างที่ผลิตผลงานวิชาการ “เอนก” เดินสายพบปะผู้คน-ค้นคว้า ความจริงและข้อมูลประกอบการอภิปราย จึงได้ปฏิสัมพันธ์กับคนการเมืองหลายสาย-หลายขั้ว
ชื่อ “เอนก” จึงถูกดึงไปพัวพันทั้งกับ “พรรคการเมืองใหม่” และ “ข่าว” ล่าสุดมีคนวงใน “พรรคเพื่อไทย” เปิดทางไว้ว่า เขาจะเข้าไปเป็น “ที่ปรึกษา” ของ “ประธานที่ปรึกษา”
คนแวดวงการเมืองจึงสนใจไถ่ถาม ความจริงจากปากของ “เอนก”
เขาบอกว่า “เขียนไว้ได้เลย ขีดเส้นใต้ไว้ได้เลยว่า ณ ปลายฝนต้นหนาวของปี 2552 นี้ ไม่มีชื่อ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ใน พรรคเพื่อไทยเป็นแน่แท้ แต่ฤดูร้อนปีหน้าค่อยมาว่ากันอีกที”
“เอนก” เป็นที่สนใจของทุกพรรค ทุก “หัว” แม้กระทั่ง “นายหัว” ชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาใหญ่แห่งค่ายพรรค ประชาธิปัตย์ ยังไถ่ถาม-ชักชวนให้คืนรัง ดังเดิม
ส่วนความสัมพันธ์อันดีเมื่อครั้งอดีตกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ย้ายสังกัดไปประกบอยู่กับ “บรรหาร ศิลปอาชา” แห่งค่ายชาติไทยพัฒนา ณ วันนี้ก็ยังแนบแน่นเช่นเดิม
เช่นเดียวกับ “คอนเน็กชั่นพิเศษ” กับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ผู้มากบารมีที่ยังคงมี “เอนก” เป็นแขกประจำในมื้อค่ำ ไม่สร่างซา-ห่างหาย
ถามว่า “อาจารย์เอนก” สนใจร่วมหอลงโรง ร่วมหัวจมท้าย กับพรรคไหน และจะกลับจากเวทีวิชาการเข้าสู่วงจรการเมืองอีกหรือไม่
คำตอบคือ “ผมสนใจการคุยกับทุกพรรค ทุกฝ่าย เพื่อให้ก่อเกิดนวัตกรรมทางการเมืองรูปแบบใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ”
“ตอนนี้กำลังหาทางออกด้วยการทำวิจัย เขียนหนังสือชื่อ จุดคานงัดนำสังคมไทยพ้นวิกฤต ไม่มีอะไรเป็นเรื่องฝัก-ฝ่าย” ในฐานะอาจารย์เขาคร่ำเคร่งทำวิจัย-จัดวงเสวนา-ทำโฟกัสกรุ๊ป และชักชวนทุกขั้ว- ทุกฝ่ายมาร่วมวง
เป็นงานวิจัยที่ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่บนหิ้ง ทิ้งไว้บนหอคอยงาช้าง แต่กำลังนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวงวรรณกรรม-วิชาการ โดยสำนักพิมพ์ “มติชน” เร็ว ๆ นี้
ประเด็นที่ผู้คนสนใจไถ่ถาม “เอนก” มากไม่แพ้การเลือกฝ่าย คือ พบปะ-คบหากับ “บิ๊กจิ๋ว” ใกล้ชิดขนาดไหน คำตอบที่ได้ คือ เป็นการพูดคุยเรื่องพื้นฐานการปกครองส่วนท้องถิ่น
เขาบอกว่า การคบหา-กินข้าวคาว-หวานกับนายกรัฐมนตรี-อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นมีตลอดทุกยุคทุกสมัย
“จริง ๆ แล้วผมก็คุยกับคนได้หลายฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล กับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมก็เคยพบรับประทานอาหารด้วยกัน เช่นเดียวกับอดีตนายกฯอานันท์ ปันยารชุน ก็พบปะกัน แม้กระทั่งท่านอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ก็เคยคบหาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน”
“แต่คนการเมืองที่พบปะกับผมมากที่สุด ไปเที่ยวกันบ่อยที่สุดชื่อ สุริยะใส กตะศิลา…ในฐานะลูกศิษย์-ลูกหา” อาจารย์เอนก เล่ารายละเอียดเส้นทางคน-เส้นทางการเมือง
เมื่อ “บิ๊กจิ๋ว” จุดพลุ “นครรัฐปัตตานี- นครปัตตานี” ดังสนั่น-สว่างไสวไปทั่วกระดานการเมือง ในฐานะที่เป็นกูรู-รัฐศาสตร์ “เอนก” อธิบายปรากฏการณ์
“การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องใช้แพ็กเกจใหญ่ ใช้มาตรการใดมาตรการหนึ่งไม่ได้ การพูดถึง “นคร” รูปแบบการปกครองพิเศษ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจใหญ่ ซึ่งมีระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า หากพื้นที่ใดมีความพร้อม มีเจตนาอยากปกครองรูปแบบพิเศษ ก็สามารถทำได้โดยให้อยู่ในกฎหมาย”
“ในยุครัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าฯ มีพระราชดำริจะนำเอาพื้นที่ชะอำ หัวหิน เป็นเขตปกครองพิเศษ เป็นเขตรักษาชายฝั่งทะเลตะวันตก แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จก็เกิดเหตุการณ์ 2475 เสียก่อน” อาจารย์เอนกย้อนความ
“ส่วนข้อเสนอที่จะทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตพิเศษ โดยอยู่ในวัฒนธรรมแบบมุสลิมในแบบไทย ซึ่งมีเชื้อสายมาจากมาเลเซียที่มีการนับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด”
“การจัดเขตปกครองพิเศษ จะทำให้เขาได้ปกครอง-แก้ปัญหาของตัวเองได้มากขึ้น”
ข้อย้อน-แย้งที่พลพรรคประชาธิปัตย์รุมโต้-ต้าน ภายใต้หลักคิด-กรอบองค์กร “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน ภาคใต้” โดยเรียกชื่อดั้งเดิมยุคสมัย “ชวน หลีกภัย” ที่เรียกชื่อย่อว่า ศอบต. ถูก “ดร.เอนก” วิพากษ์
ด้วยการหยิบยกโครงสร้างอำนาจมาวาดเค้า-วางเรื่อง-เห็นภาพว่า “การตั้งเขตการปกครองพิเศษ โดยมีศูนย์ ศอบต.เป็น ผู้บริหารพื้นที่นั้น เป็นการรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลางยิ่งกว่ารวมศูนย์เสียอีก เพราะเป็นการใช้ผู้บริหารส่วนกลางเข้าไปรวมศูนย์ที่ส่วนกลางสำนักนายก รัฐมนตรีในการแก้ปัญหาท้องถิ่น”
“ที่ผ่านมารัฐไทยได้พยายามแก้ปัญหาโดยส่วนกลางจนหมดเงิน หมดทรัพยากร หมดสติปัญญาไปเป็นจำนวนมาก ก็แก้ปัญหาไปได้ไม่มากเท่าไร ยามนี้หากใครคิดที่จะใช้ท้องถิ่นแก้ปัญหาท้องถิ่น ก็ถือว่าเป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ของชาวบ้านอย่างแท้จริง”
ในฐานะเจ้าความคิดเรื่องการกระจายอำนาจที่ยึดทางออกด้วย “ท้องถิ่น” จึงเห็นว่า การกระจายอำนาจเป็นเรื่องของทุกจังหวัด ทุกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องใส่ใจ ไม่ใช่เฉพาะเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
เขาเห็นว่า “องค์การบริหารส่วนจังหวัดในภาคอีสาน ก็ควรมีโอกาสได้ปกครองแบบพิเศษ แบบพื้นเพภาคอีสาน”
อาจารย์เอนก ย้อนตำนานพรรค ประชาธิปัตย์ กับแนวคิดกระจายอำนาจว่า สมัยที่ “อภิสิทธิ์” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำกับนโยบายการกระจายอำนาจ แต่ก็ยังไม่เกิดผล ดังนั้น หากจะ “คิดริเริ่ม” ตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังสามารถทำได้
ข้อคิดเห็น ทิ้งทาย ท้าทาย ทั้งเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์
“การแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก นอกจากจะทุ่มเทแรงกายแรงใจแล้วต้องมองหา นวัตกรรมทางความคิดใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาด้วย ปัญหาชายแดนใต้ โดยหลักต้องแก้ด้วยการเมือง”
ที่มา : http://www.wiseknow.com/blog/2009/11/09/3887/
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ใครทำเครียด
วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6918 ข่าวสดรายวัน
ใครทำเครียด
คอลัมน์ เหล็กใน
กระทรวงต่างประเทศ แสดงความไม่พอใจที่สมเด็จฮุน เซน แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทางด้านเศรษฐกิจ และที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา
ด้วยการออกแถลงการณ์ระบุกัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ประกาศไม่ยอมส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
พร้อมกับระบุว่ากัมพูชาไม่สามารถแยกแยะออกจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้ ทำให้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้หลบหนีคดีอาญา และยังคงมีบทบาททางการเมืองในประเทศอยู่
จึงจำเป็นต้องทบทวนสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ด้วยการเรียกตัว นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคร ราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย
ทบทวนพันธกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา
ทบทวนความร่วมมือต่างๆ ที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการกับกัมพูชาด้วยความจำใจ โดยระบุว่ารัฐบาลไทยประสงค์มาโดยตลอดที่จะให้ความร่วมมือกับกัมพูชา เพื่อพัฒนาการอยู่ดีกินดีของชาวกัมพูชา เพื่อลดช่องว่างของประชาชนกัมพูชากับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
การออกแถลงการณ์ดังกล่าว แม้กระทรวงต่างประเทศจะปฏิเสธว่าไม่ถึงขั้นปิดชายแดน แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะชายแดนที่มีการติดต่อทางด้านการค้าระหว่าง 2 ประเทศทั้งหมด
แถมกองทัพยังสั่งเตรียมกำลังทหารพร้อม ณ ที่ตั้ง ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก
ความจริง กัมพูชาไม่ได้เป็นประเทศแรกที่แต่งตั้งคนไทยเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ หรือร่วมวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.คลังหลายสมัย ก็เคยได้รับเกียรติจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาแล้ว
ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาค่อนข้างราบรื่น เพื่อประโยชน์ทั้ง 2 ประเทศ
แม้จะมีกรณีการบุกเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ แต่ก็ได้แก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจจนดีขึ้นตามลำดับ
แต่ความสัมพันธ์มามีปัญหาในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ กลับเลวร้ายถึงขนาดรบราฆ่าฟัน บาดเจ็บล้มตายกัน
ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมมือกลุ่มพันธมิตรใช้กรณีเขาพระวิหารมาเป็นเรื่องการเมือง
นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ แสดงท่าทีในเรื่องดังกล่าวอย่างไร รู้กันทั้งอาเซียน
โดยเฉพาะที่บอกจะทวงคืนเขาพระวิหาร เนื่องจากไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก
ที่สำคัญ ดันตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตร เท้าสะเอว ชี้หน้าด่า สมเด็จฮุนเซน เป็นกุ๊ย เป็นไอ้นักเลงข้างรั้ว
ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศอีกต่างหาก
ขอบคุณข่าวสด
ใครทำเครียด
คอลัมน์ เหล็กใน
กระทรวงต่างประเทศ แสดงความไม่พอใจที่สมเด็จฮุน เซน แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทางด้านเศรษฐกิจ และที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา
ด้วยการออกแถลงการณ์ระบุกัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ประกาศไม่ยอมส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
พร้อมกับระบุว่ากัมพูชาไม่สามารถแยกแยะออกจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้ ทำให้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้หลบหนีคดีอาญา และยังคงมีบทบาททางการเมืองในประเทศอยู่
จึงจำเป็นต้องทบทวนสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ด้วยการเรียกตัว นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคร ราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย
ทบทวนพันธกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา
ทบทวนความร่วมมือต่างๆ ที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการกับกัมพูชาด้วยความจำใจ โดยระบุว่ารัฐบาลไทยประสงค์มาโดยตลอดที่จะให้ความร่วมมือกับกัมพูชา เพื่อพัฒนาการอยู่ดีกินดีของชาวกัมพูชา เพื่อลดช่องว่างของประชาชนกัมพูชากับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
การออกแถลงการณ์ดังกล่าว แม้กระทรวงต่างประเทศจะปฏิเสธว่าไม่ถึงขั้นปิดชายแดน แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะชายแดนที่มีการติดต่อทางด้านการค้าระหว่าง 2 ประเทศทั้งหมด
แถมกองทัพยังสั่งเตรียมกำลังทหารพร้อม ณ ที่ตั้ง ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก
ความจริง กัมพูชาไม่ได้เป็นประเทศแรกที่แต่งตั้งคนไทยเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ หรือร่วมวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.คลังหลายสมัย ก็เคยได้รับเกียรติจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาแล้ว
ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาค่อนข้างราบรื่น เพื่อประโยชน์ทั้ง 2 ประเทศ
แม้จะมีกรณีการบุกเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ แต่ก็ได้แก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจจนดีขึ้นตามลำดับ
แต่ความสัมพันธ์มามีปัญหาในช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ กลับเลวร้ายถึงขนาดรบราฆ่าฟัน บาดเจ็บล้มตายกัน
ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมมือกลุ่มพันธมิตรใช้กรณีเขาพระวิหารมาเป็นเรื่องการเมือง
นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ แสดงท่าทีในเรื่องดังกล่าวอย่างไร รู้กันทั้งอาเซียน
โดยเฉพาะที่บอกจะทวงคืนเขาพระวิหาร เนื่องจากไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก
ที่สำคัญ ดันตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตร เท้าสะเอว ชี้หน้าด่า สมเด็จฮุนเซน เป็นกุ๊ย เป็นไอ้นักเลงข้างรั้ว
ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศอีกต่างหาก
ขอบคุณข่าวสด
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552
น้องทักษิณ"มั่นใจพี่ย่องมาเขมร น.ศ.พม่าไม่พอใจยกแม้วเท่า"ซูจี
"น้องทักษิณ"มั่นใจพี่ย่องมาเขมร น.ศ.พม่าไม่พอใจยกแม้วเท่า"ซูจี" พท.ผวาพลิกเกมชาตินิยมตี"แม้ว"
"น้อง ทักษิณ"มั่นใจพี่ย่องมาเขมร พท.ผวาพลิกเกมชาตินิยมตี"แม้ว" น.ศ.พม่าไม่พอใจยก"ทักษิณ"เท่า"ซูจี" อดีตนายกฯ บอกมีผู้นำอาเซียนโทรบ่นรัฐบาลไทยจัดพิธีการเยอะเหนื่อยมากยันไม่ใช่"ฮุน เซน" ปัดชักใยเบื้องหลังผู้นำเขมรเป็นเกียรติถูกยกเทียบ "ซูจี" อัดลูกน้องที่เคยไว้ใจเอาเงินไปใช้ยังทิ้งกันลงท้า"มาร์ค"ยุบสภา
"แม้ว"บอกมีผู้นำอาเซียนโทรบ่นรัฐบาลไทยจัดพิธีการเยอะ
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com ว่า "เมื่อคืนนี้มีผู้นำท่านหนึ่งที่ไม่ใช่ท่านฮุน เซ็นโทรมาบ่นว่างานประชุมครั้งนี้เหนื่อยมาก เพราะเจ้าภาพชอบพีอาร์ตัวเอง เลยมีพิธีการเยอะไปหน่อย รัฐบาลบอกว่าผมใช้ท่านฮุน เซ็นออกมาพูดให้ผมโถ..ผม ต้องเจียมตัวครับ สถานะอย่างผมวันนี้อย่าว่าจะไปใช้ผู้นำประเทศอื่นเลยแม้กระทั่งลูกน้องที่ เคยไว้ใจ ลูกน้องที่เอาเงินผมไปใช้ยังทิ้งผมเลย ผมจะไปใช้ใครได้ มีแต่คนที่เขาทนไม่ได้ต่อความไม่เป็นธรรมที่ผมถูกรังแกอย่างทุเรศๆเท่านั้น ที่ออกมาต่อสู้ให้ คนที่ออกมาสู้ให้ผมมีหลายระดับหลายฐานะและการศึกษาแต่รับรองได้คนเหล่านี้มี จิตใจเป็นธรรมไม่เชื่อลองเข้าไปดูในกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะรู้ความจริงครับ เห็นคุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมยุบสภาและเลือกตั้งคราวหน้าจะสูสีเพื่อ ไทยผมเลยอยากจะขอให้ยุบเลยครับเพราะตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วครับ"
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตข้อคววามตอบแฟนคลับถึงความรู้สึกที่ถูกสมเด็จฯฮุนเซ็น นำไปเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติครับ จริงๆก็คือเป็นผู้มาจากประชาธิปไตยโดยประชาชนแต่ถูกบี้โดยอำนาจเผด็จการและ ใช้กระบวนการดูเสมือนยุติธรรมอธิบาย”
นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตข้อความถึงกรณีการใช้งบประชาสัมพันธ์ในโครงการต่างๆของรัฐบาลว่า “เป็นรัฐบาลที่ใช้งบหลวงประชาสัมพันธ์ตัวเองเยอะที่สุดตั้งแต่เป็นประเทศไทย มาครับ สมัยผมถ้าจำไม่ผิดปีๆหนึ่งอยู่ราวๆ6-700 ล้านบาทครับ
เด็ก"แม้ว" ขู่เปิดข้อมูลเท็จฟ้องแน่
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า จะทำหนังสือหรือเอกสารเปิดเผยผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯฮุน เซน ขอบอกว่าเก่งไม่กลัว กลัวช้า ขอให้รีบทำออกมาเลย เพราะที่ผ่านมา
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปทำธุรกิจโทรทัศน์ในกัมพูชา ก็ไปในฐานะนักธุรกิจ ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ไม่ได้ไปร่วมทุนกับครอบครัว หรือตัวสมเด็จฯฮุน เซน เอง หากเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จออกมาจะฟ้องร้องทันที และอีก 1-2 วันจะไปทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลที่อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกัมพูชา หากมีข้อมูลเป็นเท็จก็ฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นกัน
"ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้สมเด็จฯฮุน เซน เลือกระหว่างประเทศไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของ ปชป.และนายอภิสิทธิ์มาก เพราะนายอภิสิทธิ์เองไม่ใช่ประเทศไทย แต่เป็นเพียงโชเฟอร์ที่มาแทนโชเฟอร์ที่ถูกระบอบอำมาตย์ถีบออกไปจากการรัฐ ประหาร หากให้สมเด็จฯฮุน เซน เลือก ก็ต้องเลือกไทยอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความเลือกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จุดเริ่มต้นปัญหาคือ นายอภิสิทธิ์มีโอกาสเลือกระหว่างประเทศไทยกับนายกษิต ภิรมย์ แต่นายอภิสิทธิ์กลับเลือกนายกษิต ผู้เป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกับประเทศเพื่อนบ้าน" นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า ที่นายอภิสิทธิ์ไปใช้คำพูดว่า "เบี้ย" หรือ "เหยื่อ" กับสมเด็จฯฮุน เซน ซึ่งการพูดเช่นนี้สถาบันทางการทูตชั้นนำของโลกไม่มีใครสอนกัน เพราะเป็นการทูตแบบชี้หน้าด่าเพื่อนไม่เป็นผลดีกับคนไทย รัฐบาลชุดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับเพื่อนบ้านดิ่งเหวลงไป
น้องทักษิณมั่นใจพี่ย่องมาเขมร
ขณะที่ นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์จัดทำข้อมูลชี้แจงประชาชนถึงความเชื่อมโยง พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฯฮุน เซน ว่า รัฐบาลคิดผิด เพราะหากรัฐบาลทำอย่างนั้นจะส่งผลให้สัมพันธ์ทั้งในและนอกประเทศย่ำแย่ลง พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯฮุน เซน เป็นเพื่อนกันมานานก่อนเป็นนายกฯ ในสมัยที่ไปลงทุนสัมปทานบริษัทไอบีซี ที่กัมพูชา ขอร้องว่าอย่านำหมวกการเมืองไปสวมให้เขา "ถ้ามีเพื่อน ผมชวนเพื่อนว่าจะมาเที่ยวบ้านเมื่อไหร่ถามว่าเสียหายไหมก็ไม่ เพราะเป็นเพื่อนกัน แต่รัฐบาลคิดอะไรขนาดนั้นจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นแค่คดีใบขับขี่เท่านั้น"
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกัมพูชาตามคำเชิญหรือไม่ นายพายัพกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยังทำเช่นนี้ต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกัมพูชาอย่างแน่นอน ซึ่งมีหลายเหตุผลที่จะไป
เมื่อถามว่า นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พท. ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศไทยภายใน 60 วัน นายพายัพกล่าวว่า อาจจะเป็นจริง แต่เวลาอาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้เดินทางกลับประเทศไทย ส่วนเรื่องกฎหมายนั้นว่าไปตามกระบวนการ สู้คดีกันไป แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้วความปั่นป่วนในบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร วันนี้ต้องถือว่ารัฐบาลเดินเกมผิด ชาตินี้ทั้งชาติก็จะสมานฉันท์ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เห็นใจหัวใจสีแดงของประชาชน
ขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.ชวลิตใช้สัมพันธ์อันดีส่วนตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์พยายามบิดเบือนเจตนา ทั้งที่การไปพูดคุยสมเด็จฯฮุน เซน ถือว่าดีมาก ในต่างประเทศ อดีตนายกฯหรืออดีตประธานาธิบดีที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศไปพบผู้ นำประเทศ รัฐบาลมีแต่ขอบคุณ ยินดี
พท.ผวาพลิกเกมชาตินิยมตี"แม้ว"
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แจ้งว่า ที่ประชุมวิตกกังวลในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและสมเด็จฯฮุน เซน หลังประเมินว่า ปชป.กำลังปลุกกระแสชาตินิยมและให้ข่าวพุ่งเป้าไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งจะไปสอดคล้องกับสิ่งที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษออกมากล่าวถึงเรื่องทรยศชาติก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นความเสียเปรียบของ พท. ที่ประชุมจึงมีความเห็นว่าพรรคต้องเร่งออกมาแถลงข่าวและตอบโต้ต่อสาธารณะโดย ประเด็นหลักที่จะใช้ตอบโต้คือความล้มเหลวเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียน
"รวมถึงประเด็นที่ผู้นำสูงสุดจากประเทศหนึ่งไม่เข้าพักในบ้านพักที่ รัฐบาลไทยจัดรับรอง แต่ได้พักที่บ้านพักตากอากาศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แทน ซึ่งถือเป็นการหักหน้ารัฐบาลไทย และผู้นำประเทศท่านนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนประเทศดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านก็ได้จัดบ้านพักรับรองภายในเขตพระราชวังให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ" แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยกล่าว
น.ศ.พม่าไม่พอใจยกแม้วเท่า"ซูจี"
ที่ จ.ตาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวพม่าซึ่งประกอบด้วยนักการเมือง นักศึกษาพม่า และประชาชนทั่วไปตามแนวชายแดนไทย-พม่า และในพื้นที่ อ.แม่สอด ต่างไม่พอใจที่สมเด็จฯฮุน เซน ออกมาเปรียบเปรย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยเทียบชั้นนางออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า เพราะส่วนใหญ่เห็นว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่สามารถเคลียร์ตัวเองเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังไม่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หากจะต่อสู้ต้องกลับมาในประเทศไทย
นายหม่อง หม่อง ยี อดีตนักศึกษาพม่า กล่าวว่า นางออง ซาน ซูจี เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่อยู่ในประเทศตลอด ไม่เคยคิดออกนอกประเทศ และต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง ต่างกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก จะมาเทียบชั้นกันไม่ได้
จากมติชน...27/10/52
"น้อง ทักษิณ"มั่นใจพี่ย่องมาเขมร พท.ผวาพลิกเกมชาตินิยมตี"แม้ว" น.ศ.พม่าไม่พอใจยก"ทักษิณ"เท่า"ซูจี" อดีตนายกฯ บอกมีผู้นำอาเซียนโทรบ่นรัฐบาลไทยจัดพิธีการเยอะเหนื่อยมากยันไม่ใช่"ฮุน เซน" ปัดชักใยเบื้องหลังผู้นำเขมรเป็นเกียรติถูกยกเทียบ "ซูจี" อัดลูกน้องที่เคยไว้ใจเอาเงินไปใช้ยังทิ้งกันลงท้า"มาร์ค"ยุบสภา
"แม้ว"บอกมีผู้นำอาเซียนโทรบ่นรัฐบาลไทยจัดพิธีการเยอะ
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com ว่า "เมื่อคืนนี้มีผู้นำท่านหนึ่งที่ไม่ใช่ท่านฮุน เซ็นโทรมาบ่นว่างานประชุมครั้งนี้เหนื่อยมาก เพราะเจ้าภาพชอบพีอาร์ตัวเอง เลยมีพิธีการเยอะไปหน่อย รัฐบาลบอกว่าผมใช้ท่านฮุน เซ็นออกมาพูดให้ผมโถ..ผม ต้องเจียมตัวครับ สถานะอย่างผมวันนี้อย่าว่าจะไปใช้ผู้นำประเทศอื่นเลยแม้กระทั่งลูกน้องที่ เคยไว้ใจ ลูกน้องที่เอาเงินผมไปใช้ยังทิ้งผมเลย ผมจะไปใช้ใครได้ มีแต่คนที่เขาทนไม่ได้ต่อความไม่เป็นธรรมที่ผมถูกรังแกอย่างทุเรศๆเท่านั้น ที่ออกมาต่อสู้ให้ คนที่ออกมาสู้ให้ผมมีหลายระดับหลายฐานะและการศึกษาแต่รับรองได้คนเหล่านี้มี จิตใจเป็นธรรมไม่เชื่อลองเข้าไปดูในกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะรู้ความจริงครับ เห็นคุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมยุบสภาและเลือกตั้งคราวหน้าจะสูสีเพื่อ ไทยผมเลยอยากจะขอให้ยุบเลยครับเพราะตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วครับ"
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตข้อคววามตอบแฟนคลับถึงความรู้สึกที่ถูกสมเด็จฯฮุนเซ็น นำไปเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติครับ จริงๆก็คือเป็นผู้มาจากประชาธิปไตยโดยประชาชนแต่ถูกบี้โดยอำนาจเผด็จการและ ใช้กระบวนการดูเสมือนยุติธรรมอธิบาย”
นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทวิตข้อความถึงกรณีการใช้งบประชาสัมพันธ์ในโครงการต่างๆของรัฐบาลว่า “เป็นรัฐบาลที่ใช้งบหลวงประชาสัมพันธ์ตัวเองเยอะที่สุดตั้งแต่เป็นประเทศไทย มาครับ สมัยผมถ้าจำไม่ผิดปีๆหนึ่งอยู่ราวๆ6-700 ล้านบาทครับ
เด็ก"แม้ว" ขู่เปิดข้อมูลเท็จฟ้องแน่
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า จะทำหนังสือหรือเอกสารเปิดเผยผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯฮุน เซน ขอบอกว่าเก่งไม่กลัว กลัวช้า ขอให้รีบทำออกมาเลย เพราะที่ผ่านมา
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปทำธุรกิจโทรทัศน์ในกัมพูชา ก็ไปในฐานะนักธุรกิจ ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ไม่ได้ไปร่วมทุนกับครอบครัว หรือตัวสมเด็จฯฮุน เซน เอง หากเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จออกมาจะฟ้องร้องทันที และอีก 1-2 วันจะไปทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลที่อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกัมพูชา หากมีข้อมูลเป็นเท็จก็ฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นกัน
"ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้สมเด็จฯฮุน เซน เลือกระหว่างประเทศไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของ ปชป.และนายอภิสิทธิ์มาก เพราะนายอภิสิทธิ์เองไม่ใช่ประเทศไทย แต่เป็นเพียงโชเฟอร์ที่มาแทนโชเฟอร์ที่ถูกระบอบอำมาตย์ถีบออกไปจากการรัฐ ประหาร หากให้สมเด็จฯฮุน เซน เลือก ก็ต้องเลือกไทยอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความเลือกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จุดเริ่มต้นปัญหาคือ นายอภิสิทธิ์มีโอกาสเลือกระหว่างประเทศไทยกับนายกษิต ภิรมย์ แต่นายอภิสิทธิ์กลับเลือกนายกษิต ผู้เป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกับประเทศเพื่อนบ้าน" นายนพดลกล่าว
นายนพดล กล่าวว่า ที่นายอภิสิทธิ์ไปใช้คำพูดว่า "เบี้ย" หรือ "เหยื่อ" กับสมเด็จฯฮุน เซน ซึ่งการพูดเช่นนี้สถาบันทางการทูตชั้นนำของโลกไม่มีใครสอนกัน เพราะเป็นการทูตแบบชี้หน้าด่าเพื่อนไม่เป็นผลดีกับคนไทย รัฐบาลชุดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับเพื่อนบ้านดิ่งเหวลงไป
น้องทักษิณมั่นใจพี่ย่องมาเขมร
ขณะที่ นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์จัดทำข้อมูลชี้แจงประชาชนถึงความเชื่อมโยง พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฯฮุน เซน ว่า รัฐบาลคิดผิด เพราะหากรัฐบาลทำอย่างนั้นจะส่งผลให้สัมพันธ์ทั้งในและนอกประเทศย่ำแย่ลง พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯฮุน เซน เป็นเพื่อนกันมานานก่อนเป็นนายกฯ ในสมัยที่ไปลงทุนสัมปทานบริษัทไอบีซี ที่กัมพูชา ขอร้องว่าอย่านำหมวกการเมืองไปสวมให้เขา "ถ้ามีเพื่อน ผมชวนเพื่อนว่าจะมาเที่ยวบ้านเมื่อไหร่ถามว่าเสียหายไหมก็ไม่ เพราะเป็นเพื่อนกัน แต่รัฐบาลคิดอะไรขนาดนั้นจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นแค่คดีใบขับขี่เท่านั้น"
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกัมพูชาตามคำเชิญหรือไม่ นายพายัพกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยังทำเช่นนี้ต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกัมพูชาอย่างแน่นอน ซึ่งมีหลายเหตุผลที่จะไป
เมื่อถามว่า นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พท. ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศไทยภายใน 60 วัน นายพายัพกล่าวว่า อาจจะเป็นจริง แต่เวลาอาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้เดินทางกลับประเทศไทย ส่วนเรื่องกฎหมายนั้นว่าไปตามกระบวนการ สู้คดีกันไป แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้วความปั่นป่วนในบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร วันนี้ต้องถือว่ารัฐบาลเดินเกมผิด ชาตินี้ทั้งชาติก็จะสมานฉันท์ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เห็นใจหัวใจสีแดงของประชาชน
ขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.ชวลิตใช้สัมพันธ์อันดีส่วนตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์พยายามบิดเบือนเจตนา ทั้งที่การไปพูดคุยสมเด็จฯฮุน เซน ถือว่าดีมาก ในต่างประเทศ อดีตนายกฯหรืออดีตประธานาธิบดีที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศไปพบผู้ นำประเทศ รัฐบาลมีแต่ขอบคุณ ยินดี
พท.ผวาพลิกเกมชาตินิยมตี"แม้ว"
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แจ้งว่า ที่ประชุมวิตกกังวลในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและสมเด็จฯฮุน เซน หลังประเมินว่า ปชป.กำลังปลุกกระแสชาตินิยมและให้ข่าวพุ่งเป้าไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งจะไปสอดคล้องกับสิ่งที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษออกมากล่าวถึงเรื่องทรยศชาติก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นความเสียเปรียบของ พท. ที่ประชุมจึงมีความเห็นว่าพรรคต้องเร่งออกมาแถลงข่าวและตอบโต้ต่อสาธารณะโดย ประเด็นหลักที่จะใช้ตอบโต้คือความล้มเหลวเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียน
"รวมถึงประเด็นที่ผู้นำสูงสุดจากประเทศหนึ่งไม่เข้าพักในบ้านพักที่ รัฐบาลไทยจัดรับรอง แต่ได้พักที่บ้านพักตากอากาศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แทน ซึ่งถือเป็นการหักหน้ารัฐบาลไทย และผู้นำประเทศท่านนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนประเทศดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านก็ได้จัดบ้านพักรับรองภายในเขตพระราชวังให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ" แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยกล่าว
น.ศ.พม่าไม่พอใจยกแม้วเท่า"ซูจี"
ที่ จ.ตาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวพม่าซึ่งประกอบด้วยนักการเมือง นักศึกษาพม่า และประชาชนทั่วไปตามแนวชายแดนไทย-พม่า และในพื้นที่ อ.แม่สอด ต่างไม่พอใจที่สมเด็จฯฮุน เซน ออกมาเปรียบเปรย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยเทียบชั้นนางออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า เพราะส่วนใหญ่เห็นว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่สามารถเคลียร์ตัวเองเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังไม่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หากจะต่อสู้ต้องกลับมาในประเทศไทย
นายหม่อง หม่อง ยี อดีตนักศึกษาพม่า กล่าวว่า นางออง ซาน ซูจี เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่อยู่ในประเทศตลอด ไม่เคยคิดออกนอกประเทศ และต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง ต่างกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก จะมาเทียบชั้นกันไม่ได้
จากมติชน...27/10/52
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552
“ฮุนเซน” รับให้ที่พักทักษิณจริง!! ตบหน้าอำมาตย์ เสื้อแดงรักเป็นล้าน ทำไมเพื่อนคนนี้จะรักทักษินไม่ได้
นนี้ (23 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น.ที่ท่าอากาศยานหัวหิน (บ่อฝ้าย) สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมด้วยภริยาและคณะ ได้เดินทางถึงประเทศไทยด้วยเครื่องบินพิเศษถึงประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยมี นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีเกียรติยศให้การต้อนรับ หลังจากนั้น สมเด็จฮุนเซน ได้เดินทางต่อมายังโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก
ต่อมาเวลา 16.45 น.ที่โรงแรมดุสิตธานี สมเด็จฮุนเซน ให้สัมภาษณ์เป็นภาษากัมพูชา ผ่านล่ามแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยให้ สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะให้ที่พักพิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสถานะเป็นนักโทษหนีคดีจากประเทศไทย โดยใน ฮุนเซน ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถที่จะอยู่ในกัมพูชา ในฐานะแขกของกัมพูชา และจะเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้ตนอีกด้วย เมื่อถามว่า เหตุใดจึงตัดสินใจเช่นนั้น สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า เป็นคำถามที่อาจจะมีคำตอบได้หลายอย่าง และยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้ที่ตอบได้ทั้งหมด แต่คนคิดว่าเป็นเหตุผลทางด้านมนุษยชน
เมื่อถามต่อว่า หมายถึงเป็นการช่วยอุปการะเพื่อนฝูงกันใช่ไหม สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า เรื่องภายในของประเทศไทย ควรจะเป็นเรื่องของคนไทย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กัมพูชา จะเข้าไปแทรกแซง อย่ามากล่าวหาฮุนเซนเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องการเมืองภายในประเทศ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาที่กัมพูชามีการชุมนุมของพวกเสื้อแดงอยู่แล้ว
ต่อคำถามว่าการที่เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ มายังประเทศกัมพูชานั้น ถือเป็นการแทรกแซงเรื่องภายในของไทยด้วยหรือเปล่า สม เด็จฮุนเซน กล่าวว่า ไม่เป็นการแทรกแซง แต่เป็นสิทธิ เป็นอธิปไตยของประเทศกัมพูชา ที่จะให้หลายคนพูดถึง อองซาน ซูจี ในประเทศพม่า แต่ไม่เห็นมีใครพูดถึงเคราะห์กรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เลย การที่กัมพูชาทำเช่นนั้น ไม่ถือเป็นการแทรกแซง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา สม รังษี ได้เดินทางมาประเทศไทย และมาพูดให้ร้ายประเทศกัมพูชา และทีวีของประเทศไทยได้กล่าวถึง อันนี้คล้ายๆ กับน้ำหยดเล็กๆ เท่านั้น อันนี้เป็นศลีธรรม และเป็นสิ่งที่คนไทยควรจะให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
“คน ไทยเป็นล้านๆ เสื้อแดงก็เป็นผู้ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วทำไมข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพียงเพื่อน ซึ่งอยู่ห่างไกลจะไม่สามารถสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารสิ่งนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” สมเด็จฮุนเซน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถาม ย้ำว่า แถลงการณ์ฉบับล่าสุด ที่ระบุว่า ทางกัมพูชาจะให้ที่พำนักแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กับทางการไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงจะแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ สมเด็จฮุนเซน กล่าวยอมรับว่า แถลงการณ์ล่าสุดเป็นเรื่องจริง
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=847398
“แจ๋วริมจอ”เปิดจม.ประชาชน ด่า“รบ.ปัญญาอ่อน”ผลาญงบเกณฑ์คนเข้าแถวดู“ธงชาติไทย”ถูกชักลงจากยอดเสา !
“เสียดายงบ”
"เรียนคุณแจ๋วริมจอที่นับถือ ติดตามท่านมาตลอด เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แล้วแต่ ประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ที่เห็นด้วยอย่างจริงแท้แน่นอนก็คือ ความอัปลักษณ์ทางความคิดของบางคนในรัฐบาลนี้
ก็เรื่องบังคับให้คนไทยต้องเคารพธงชาติตอน 6 โมงเย็น และขู่เข็ญให้โทรทัศน์ต้องถ่ายทอดสดกิจกรรมดังว่า
เวลา เพียงไม่กี่วินาที (ความยาวของเพลงชาติ) กับการต้องเกณฑ์คนนับพันมาทรมานกว่าจะได้ ถ่ายทอดสดนั้น มันคุ้มกันหรือไม่ก็ไปลองคิดเอาเอง
ผมเข้าใจความรู้สึกของรัฐบาลคณะนี้ ที่ต้องเดินนโยบาย "ความรักชาติ" และ "ไทยเข้มแข็ง" เพื่อดูให้เห็นว่า ต้องการรวมคนไทยเป็นปึกแผ่น
แต่ที่ผ่านมาก็ยังทำไม่สำเร็จ เพราะทุกกิจกรรมมันเหมือนหลอกตัวเอง หลอกคนไทยให้เพ้อฝันในนามธรรมเท่านั้น
ผมสอบถามเพื่อนๆทุกคนว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่เขาบังคับเราให้เคารพธงชาติ 6 โมงเย็น หรือเที่ยวเกณฑ์คนไปร่วมกิจกรรมตากแดดตากฝน
ปรากฏว่าเพื่อนทุกคนลงความเห็นเหมือนกันหมดว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนรัฐบาลไม่มีความจริงใจ ทำราวกับยุคเผด็จการในอดีต
อยากให้ลองทำโพลสำรวจความเห็นจากประชาชนอย่างเป็นธรรม ผมเชื่อว่าคนไม่เห็นด้วยจะมากกว่าแน่นอน
แล้วสำรวจให้ละเอียดด้วยว่า ที่ลงทุน ถ่ายทอดสดทุกวันนั้น คุ้มค่าเงินงบประมาณของประชาชนทั้งประเทศที่เอามาละลายเล่นหรือไม่
ที่แปลกประหลาดที่สุด น่าจะอยู่ที่วิธีการคิด เพราะแทนที่จะไปเคารพธงชาติ ชักธงชาติขึ้นเสาตอน 8 โมงเช้า เหมือนที่หน่วยราชการปฏิบัติ
แต่นี่กลับไปชักธงลงจากเสาตอน 6 โมงเย็น ทำให้ผู้คนที่ถูกเกณฑ์มา ทั้งผู้หญิงเด็กต้องเดือดร้อนในการเดินทางกลับบ้านตอนมืดค่ำ
เอางบประมาณที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำครั้งนี้ ไปเลี้ยงเด็กด้อยโอกาส ยังได้ศรัทธาจากประชาชนมากกว่าเป็นไหนๆ"
"คนไทยเข้มแข็ง"
ครับ, จดหมายคุณตกค้างอยู่นาน แต่เรื่องเพลงชาติยังเป็นเรื่องเม้าท์ฮอตฮิตในทุกวงการ
จึงขอนำความเห็นทั้งหมดมาฉายซ้ำอีกที โดนใจหลายคนครับ!!
"แจ๋วริมจอ"
(ที่มา ไทยรัฐ ,19 ตุลาคม 2552)
"เรียนคุณแจ๋วริมจอที่นับถือ ติดตามท่านมาตลอด เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แล้วแต่ ประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ที่เห็นด้วยอย่างจริงแท้แน่นอนก็คือ ความอัปลักษณ์ทางความคิดของบางคนในรัฐบาลนี้
ก็เรื่องบังคับให้คนไทยต้องเคารพธงชาติตอน 6 โมงเย็น และขู่เข็ญให้โทรทัศน์ต้องถ่ายทอดสดกิจกรรมดังว่า
เวลา เพียงไม่กี่วินาที (ความยาวของเพลงชาติ) กับการต้องเกณฑ์คนนับพันมาทรมานกว่าจะได้ ถ่ายทอดสดนั้น มันคุ้มกันหรือไม่ก็ไปลองคิดเอาเอง
ผมเข้าใจความรู้สึกของรัฐบาลคณะนี้ ที่ต้องเดินนโยบาย "ความรักชาติ" และ "ไทยเข้มแข็ง" เพื่อดูให้เห็นว่า ต้องการรวมคนไทยเป็นปึกแผ่น
แต่ที่ผ่านมาก็ยังทำไม่สำเร็จ เพราะทุกกิจกรรมมันเหมือนหลอกตัวเอง หลอกคนไทยให้เพ้อฝันในนามธรรมเท่านั้น
ผมสอบถามเพื่อนๆทุกคนว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่เขาบังคับเราให้เคารพธงชาติ 6 โมงเย็น หรือเที่ยวเกณฑ์คนไปร่วมกิจกรรมตากแดดตากฝน
ปรากฏว่าเพื่อนทุกคนลงความเห็นเหมือนกันหมดว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนรัฐบาลไม่มีความจริงใจ ทำราวกับยุคเผด็จการในอดีต
อยากให้ลองทำโพลสำรวจความเห็นจากประชาชนอย่างเป็นธรรม ผมเชื่อว่าคนไม่เห็นด้วยจะมากกว่าแน่นอน
แล้วสำรวจให้ละเอียดด้วยว่า ที่ลงทุน ถ่ายทอดสดทุกวันนั้น คุ้มค่าเงินงบประมาณของประชาชนทั้งประเทศที่เอามาละลายเล่นหรือไม่
ที่แปลกประหลาดที่สุด น่าจะอยู่ที่วิธีการคิด เพราะแทนที่จะไปเคารพธงชาติ ชักธงชาติขึ้นเสาตอน 8 โมงเช้า เหมือนที่หน่วยราชการปฏิบัติ
แต่นี่กลับไปชักธงลงจากเสาตอน 6 โมงเย็น ทำให้ผู้คนที่ถูกเกณฑ์มา ทั้งผู้หญิงเด็กต้องเดือดร้อนในการเดินทางกลับบ้านตอนมืดค่ำ
เอางบประมาณที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำครั้งนี้ ไปเลี้ยงเด็กด้อยโอกาส ยังได้ศรัทธาจากประชาชนมากกว่าเป็นไหนๆ"
"คนไทยเข้มแข็ง"
ครับ, จดหมายคุณตกค้างอยู่นาน แต่เรื่องเพลงชาติยังเป็นเรื่องเม้าท์ฮอตฮิตในทุกวงการ
จึงขอนำความเห็นทั้งหมดมาฉายซ้ำอีกที โดนใจหลายคนครับ!!
"แจ๋วริมจอ"
(ที่มา ไทยรัฐ ,19 ตุลาคม 2552)
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เหตุ (ร้าวลึก!) เกิดที่ศาลปกครอง
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
เป็นการช็อคแวดวงวิชการกฎหมายมหาชนอย่างมาก เมื่อ ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ซึ่งมีโอกาสดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดในอนาคตอันใกล้ได้ยื่นใบลาออก จากตุลาการศาลปกครองสูงสุดอย่างกระทันหันโดยให้มีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552
แม้การลาออกของ ดร.วรพจน์ เมื่อดูผิวเผินแล้วอาจจะเป็นผลมาจากกรณีที่ ดร.วรพจน์และนายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดอีกคนหนึ่งพลาดจากตำแหน่งตุลาการหัวหน้าคณะในศาล ปกครองสูงสุดซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(กศ.ป.)มีมติแต่งตั้งไปเมื่อวัน ที่ 25 กันยายน 2552 จำนวน 3 ตำแหน่งโดยบุคคลทั้งสองรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมมีการข้ามอาวุโสและเป็นการผิดข้อตกลงบางประการ
แต่ความจริงแล้ว ปรากฎกาณณ์ครั้งนี้อาจเป็น สะท้อนอาการร้าวลึกของศาลปกครองที่เริ่มปรากฎขึ้นมาตั้งแต่ศาลปกครองกลางมี คำสั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 คุ้มครองชั่วคราวห้ามนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน.2551 ซึ่งเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกไปดำเนินการการใดๆ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว นอกจากเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในแวดงวงวิชาการแล้ว แม้แต่ในแวดวงศาลปกครองเอง ตุลาการระดับสูงจำนวนหนึ่งซึ่งในจำนวนนี้มี ดร.วรพจน์ และนายชาญชัย ไม่เห็นด้วยอย่างมาก โดยเห็นว่า เรื่อง ดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองเพราะมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้เป็นการ กระทำในทางรัฐบาล หรือเรื่องในทางนโยบาย โดยแท้ มิใช่การกระทำทางปกครอง
ในการวิการวิพากษ์วิจารณ์มีการหยิบยกกรณีคดีข้อตกลงทางหุ้นส่วน เศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับไทยหรือเจเทปป้าที่ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำสั่งไม่ รับเรื่องไว้พิจารณาด้วยเหตุผลว่า ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองเนื่องจากเป็นการกระทำในทางรัฐบาลมาเป็นบรรทัด ฐาน
ต่อมาคณะรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 1 ซึ่งมี ดร.อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ มีคำสั่งเมื่อ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลโดยสรุปว่า แถลงการณ์ร่วมฯอาจ ก่อให้เกิดความความแตกแยกกันในด้านความคิดเห็นของคนในสังคม และอาจก่อให้เกิดวิกฤติสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-ประเทศกัมพูชา ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง แถลงการณ์ร่วมจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศไทย
ดังนั้นหากดำเนินการใด ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ดังกล่าว ก็จะมีผลเสียหายและกระทบต่อประเทศชาติโดยรวมและสิทธิของประชาชนได้ จึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาไว้ต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของประเทศและประชาชนโดยรวม
เป็นที่น่าสังเกตว่า องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 1 ประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธาน 2 คน และตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดอีก 4 คน รวม 7 คน (องค์คณะปกติมีตุลาการ 5 คน และมีหัวหน้าคณะ 1 คน) การใช้องค์คณะที่ 1 พิจารณาคดีดังกล่าว เป็นครั้งแรกนับแต่จัดตั้งศาลปกครองมา 8 ปี น่าจะเป็นเพราะผู้บริหารศาลให้ความสำคัญกับคดีนี้อย่างมาก
แต่การให้ความสำคัญกับคดีนี้มากเป็นพิเศษ โดยให้เหตุผลเน้นในเรื่องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติในมุมมองหนึ่ง อาจทำให้อีกมุมมองเห็นว่า เป็นการละเลยหลักการทางวิชาการ และอาจมีผลกระทบต่อความยุติธรรมได้
ที่สำคัญเกรงว่า จะทำให้ศาลปกครองถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถือหางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนอาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อของศาลที่เคยสร้างบรรทัดฐานในการพิพากษาคดี สำคัญมาแล้วเป็นจำนวนมาก
กรณีดังกล่าวทำให้เกิดกระแสข่าวมากมายเกี่ยว กับการบริหารจัดการด้านคดีที่ยังไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เพราะกระแสข่าวดังกล่าว ถ้าเป็นจริงถือเป็นร้ายแรงอย่างมากในกระบวนการยุติธรรม
หลังจากคดีดังกล่าวในทางเปิดเผยได้เกิดวิวาทะกันอย่างระหว่าง ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและที่ปรึกษาใหญ่ศาลปกครองกับกลุ่มนักวิชาการกฎหมายที่ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันได้เกิดสภาพมึนตึงได้เกิดขึ้นในศาลปกครองที่ผู้บริหารศาลบางคนมองว่า มีกรณี"ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า "จึงเกิดความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันมานับแต่บัดนั้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อ ดร.วรพจน์ลาออกอย่างกระทันหัน จึงถูกมองว่า อาจจะเป็นผลพวงจากความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาจากปมปราสาทพระวิหาร
ประเด็นที่น่าจับตามองคือ หลังจากการลาออก ดร.วรพจน์ ผู้บริหารศาลปกครองจะสรุปบทเรียนใอย่างไร เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือศรัทธาของสถาบันแห่งนี้
จาก มติชน
เป็นการช็อคแวดวงวิชการกฎหมายมหาชนอย่างมาก เมื่อ ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ซึ่งมีโอกาสดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดในอนาคตอันใกล้ได้ยื่นใบลาออก จากตุลาการศาลปกครองสูงสุดอย่างกระทันหันโดยให้มีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552
แม้การลาออกของ ดร.วรพจน์ เมื่อดูผิวเผินแล้วอาจจะเป็นผลมาจากกรณีที่ ดร.วรพจน์และนายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดอีกคนหนึ่งพลาดจากตำแหน่งตุลาการหัวหน้าคณะในศาล ปกครองสูงสุดซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(กศ.ป.)มีมติแต่งตั้งไปเมื่อวัน ที่ 25 กันยายน 2552 จำนวน 3 ตำแหน่งโดยบุคคลทั้งสองรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมมีการข้ามอาวุโสและเป็นการผิดข้อตกลงบางประการ
แต่ความจริงแล้ว ปรากฎกาณณ์ครั้งนี้อาจเป็น สะท้อนอาการร้าวลึกของศาลปกครองที่เริ่มปรากฎขึ้นมาตั้งแต่ศาลปกครองกลางมี คำสั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 คุ้มครองชั่วคราวห้ามนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน.2551 ซึ่งเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกไปดำเนินการการใดๆ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว นอกจากเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในแวดงวงวิชาการแล้ว แม้แต่ในแวดวงศาลปกครองเอง ตุลาการระดับสูงจำนวนหนึ่งซึ่งในจำนวนนี้มี ดร.วรพจน์ และนายชาญชัย ไม่เห็นด้วยอย่างมาก โดยเห็นว่า เรื่อง ดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองเพราะมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้เป็นการ กระทำในทางรัฐบาล หรือเรื่องในทางนโยบาย โดยแท้ มิใช่การกระทำทางปกครอง
ในการวิการวิพากษ์วิจารณ์มีการหยิบยกกรณีคดีข้อตกลงทางหุ้นส่วน เศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับไทยหรือเจเทปป้าที่ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำสั่งไม่ รับเรื่องไว้พิจารณาด้วยเหตุผลว่า ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองเนื่องจากเป็นการกระทำในทางรัฐบาลมาเป็นบรรทัด ฐาน
ต่อมาคณะรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 1 ซึ่งมี ดร.อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ มีคำสั่งเมื่อ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลโดยสรุปว่า แถลงการณ์ร่วมฯอาจ ก่อให้เกิดความความแตกแยกกันในด้านความคิดเห็นของคนในสังคม และอาจก่อให้เกิดวิกฤติสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-ประเทศกัมพูชา ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง แถลงการณ์ร่วมจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศไทย
ดังนั้นหากดำเนินการใด ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ดังกล่าว ก็จะมีผลเสียหายและกระทบต่อประเทศชาติโดยรวมและสิทธิของประชาชนได้ จึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาไว้ต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของประเทศและประชาชนโดยรวม
เป็นที่น่าสังเกตว่า องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดคณะที่ 1 ประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุด รองประธาน 2 คน และตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดอีก 4 คน รวม 7 คน (องค์คณะปกติมีตุลาการ 5 คน และมีหัวหน้าคณะ 1 คน) การใช้องค์คณะที่ 1 พิจารณาคดีดังกล่าว เป็นครั้งแรกนับแต่จัดตั้งศาลปกครองมา 8 ปี น่าจะเป็นเพราะผู้บริหารศาลให้ความสำคัญกับคดีนี้อย่างมาก
แต่การให้ความสำคัญกับคดีนี้มากเป็นพิเศษ โดยให้เหตุผลเน้นในเรื่องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติในมุมมองหนึ่ง อาจทำให้อีกมุมมองเห็นว่า เป็นการละเลยหลักการทางวิชาการ และอาจมีผลกระทบต่อความยุติธรรมได้
ที่สำคัญเกรงว่า จะทำให้ศาลปกครองถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถือหางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนอาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อของศาลที่เคยสร้างบรรทัดฐานในการพิพากษาคดี สำคัญมาแล้วเป็นจำนวนมาก
กรณีดังกล่าวทำให้เกิดกระแสข่าวมากมายเกี่ยว กับการบริหารจัดการด้านคดีที่ยังไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เพราะกระแสข่าวดังกล่าว ถ้าเป็นจริงถือเป็นร้ายแรงอย่างมากในกระบวนการยุติธรรม
หลังจากคดีดังกล่าวในทางเปิดเผยได้เกิดวิวาทะกันอย่างระหว่าง ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและที่ปรึกษาใหญ่ศาลปกครองกับกลุ่มนักวิชาการกฎหมายที่ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันได้เกิดสภาพมึนตึงได้เกิดขึ้นในศาลปกครองที่ผู้บริหารศาลบางคนมองว่า มีกรณี"ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า "จึงเกิดความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันมานับแต่บัดนั้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อ ดร.วรพจน์ลาออกอย่างกระทันหัน จึงถูกมองว่า อาจจะเป็นผลพวงจากความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาจากปมปราสาทพระวิหาร
ประเด็นที่น่าจับตามองคือ หลังจากการลาออก ดร.วรพจน์ ผู้บริหารศาลปกครองจะสรุปบทเรียนใอย่างไร เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือศรัทธาของสถาบันแห่งนี้
จาก มติชน
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ โดย คุณ จอม เพชรประดับ
คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ โดย คุณ จอม เพชรประดับ ทาง FM 100.5 MHz
Comments are off for this post
เมื่อ เวลา 10.30 น. วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุอสมท. คลื่น 100.5 เมกกะเฮิร์ต ในรายการเอ๊กคลูซีฟ ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ
โดยผู้ดำเนินรายการได้สอบถามถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้นำเงินจากที่ใดมาดำเนินกิจการเหมืองเพชร หรือมีการฟอกเงินไว้ในรัฐบาลที่แล้ว
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “หลังจากที่ตนออกจากประเทศไทย ก่อนปฏิวัติ มีคนลือว่า ตนขนเงินออกมา 30 กระเป๋าเดินทาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครทำได้ ขอให้อย่าหลงประเด็น อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว หากจำได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยซื้อทีมฟุตบอล แล้วก็ขายทีมฟุตบอลแล้วนำผลกำไรมาลงทุนเหมืองเพชร”
ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดเงินที่ประเทศอังกฤษ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ตน ไม่มีเงินฝากที่ประเทศอังกฤษ ทั้งหมดเป็นการปล่อยข่าวทำร้ายกัน เมื่อขายทีมฟุตบอลได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เพียงพอจะลงทุนในเหมือง เพราะราคาเองก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร”
เมื่อถามว่า การที่ท่านเดินทางเข้าประเทศต่างๆนั้น ต่างประเทศรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบ้างหรือไม่
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “เขาไม่กระอักกระอ่วนตน แต่เขากระอักกระอ่วนรัฐบาลไทยมากกว่า เขามีอธิปไตยในดินแดนของเขาจะให้ใครอยู่หรือจะให้ใครไปมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่รัฐบาลไทยทำจดหมายถึงทุกประเทศต่างประเทศเขาบอกเขารำคาญ และก็ยังบอกอีกว่าเขารำคาญรัฐบาลไทยยังไม่ต้องมาประเทศเขาก็ดี”
เมื่อถามว่า มีประเทศใดที่เขาบอกว่าท่านไม่ทำตามคำสั่งศาลหรือไม่
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ไม่มี เขาเห็นคำพิพากษากรณีที่ดินรัชดาเขาก็ขำแล้ว มีอย่างที่ไหนคนซื้อไม่ผิดคนขายไม่ผิด แต่มันตลกตรงที่นายกฯเอาบัตรประชาชนไปรับรองให้เมียซื้อที่ดินเขาบอกผิด แต่ที่บุกรุกที่ดินป่าสงวนไม่เป็นไร การเมืองไทยตอนนี้มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงข้าม”
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าท่านมีเครื่องบินส่วนตัวมีบอร์ดี้การ์ดชั้นดี
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ตนไม่มีเครื่องบิน บอร์ดี้การ์ดก็ไม่มี ผมไม่กลัว เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว เรื่องอย่างนี้ผมโดนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่เป็นไร”
เมื่อถามว่าจะหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้หรือไม่
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ผมพร้อมเจรจากับทุกคน คิดดูขนาดคนอย่างคุณจอมยังติดต่อผมได้ แล้วคนที่มีอำนาจในประเทศจะติดต่อผมไม่ได้หรือ ขนาดคนขับแท็กซี่ ตำรวจชั้นผู้น้อยยังมีเบอร์ผม โทรมาผมผมก็คุยผมคุยกับทุกคน แต่คนเดียวที่ไม่มีเบอร์ผมก็คือ คนในทำเนียบรัฐบาล ยืนยันผมคุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือรองนายกฯแม้ว่าจะหน้าดำผมก็คุย”
เมื่อถามว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โทรมาหาท่านขอความร่วมมือให้ท่านหยุดเคลื่อนไหวแล้วทุกอย่างจบ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “จะร่วมมือกันอย่างไรบอกมา ตนยินดี จะให้ทำอะไร และรัฐบาลต้องบอกว่าจะทำอย่างไรด้วยเพื่อให้เกิดความปรองดองทุกฝ่าย ไม่ใช่ปรองดองเพียงฝ่ายเดียว ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสมด้วย”
เมื่อถามว่า หากนายกฯบอกว่าท่านต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ต้องถามว่ากระบวนการตอนนี้มันยุติธรรมจริงหรือไม่ และจะกำหนดความยุติธรรมอย่างไร ตนเชื่อว่า ศาลส่วนใหญ่ยุติธรรม แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกแทรกแซง และนายอภิสิทธิ์ก็เข้าไปแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีคนที่มีอิสระเหนือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ที่จริงเรื่องที่ถ้าบ้านเมืองมีความสมดุล มีการถ่วงดุลที่ดีบ้านเมืองจะเดินไปได้ แต่ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเพียงต้องการจะล้มตนเท่านั้น ที่จริงเมื่อครั้งนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกให้หยุด ให้เลิกเพราะชนะมากไปแล้ว ก็หยุดก็จะวางมือ ไม่ใช่ว่าตนอยากจะอยู่ เพียงแต่ว่าต้องการทำภารกิจที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ตอนนี้ตนอยู่เมืองนอกก็มีความสุขดี ไม่มีความเครียดอะไร มีคนหาว่าตนไปทำคลีโม แต่หน้าตนตอนนี้ใสมาก”
ที่มา http://www.matichon.co.th/
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
จุดยืนและก้าวย่าง
จุดยืนและก้าวย่าง
บทความล่าสุดเผยความในใจของจักรภพ เพ็ญแข คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร ในหนังสือพิมพ์ “ไทยเรดนิวส์” ฉบับที่ 14
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง
หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป
ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับ
ระบอบ ประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติ
เรา อยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหาร โดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น
ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้
มี ผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉา ริษยาแกนนำไปโน่น
คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ
ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้
แต่ รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผล ต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน
1. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
2. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
3. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
4. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
5. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่า
สังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง 5 ข้อนี้หรือไม่
ทั้ง หมดนี้คือความละเอียดอ่อน ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาล ภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้
ชนะ เลือกตั้งอย่างงดงาม แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานใน ราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์
เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของ ประชาชนหรือไม่
เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง 5 ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่
ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์
หลาย ท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติ
ผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อ
สังคม ไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วม ในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่ และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่ อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้น
รัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมา จากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้
รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว
ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตย
ถ้า เราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืนประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่ต้น
แล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย
ไม่ ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชน
เพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อ
เป้า หมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร.ศ. 130 และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.2475 ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้
ความใหม่ ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความ หมายแล้ว
ครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้
กว่า สามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือ
ที่สุดแล้วคืออะไร?
จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว
สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลก
ก้าว ย่าง คือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลัก
ขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
จากโพสต์กระทู้ของคุณ redthaigirl ในเว็บบอร์ดประชาไทย
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ
ขอขอบพระคุณ คุณเพียงดิน และเว็บบอร์ดประชาไท ค่ะ
ผมตอบแทนคนเสื้อแดงจำนวนมากได้ว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ
ก็คือ ระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย
ที่ไม่มีองค์ประกอบระบอบเผด็จการหลัก ๆ อันได้แก่
ระบบอำมาตย์ ที่สานเครือข่ายครอบครองอำนาจและผลประโยชน์มานาน
ระบบศักดินาและอภิสิทธินิยม ที่กดขี่และเอารัดเอาเปรียบประชาชน ผ่านหน่วยงานราชการและพิธีการต่าง ๆ
และธรรมเนียมต่าง ๆ อันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงวงจรอุบาทว์ให้คอยทำร้ายประชาธิปไตยไทยมานาน
หลายศตวรรษ
ซึ่งหากได้ฟังสิ่งที่คุณชูพงศ์ คุณคฑาวุธ คุณลุงสะอาด คุณสุรชัย และนักคิดนอกระบบ
หลายท่าน รวมถึงนักคิดประชาไท ที่มีเสรีภาพในการแสดงออกมากกว่านักการเมืองหรือแกนนำ
ได้ช่วยกันแต่งภาพตามสถานการณ์ในระยะสามปีที่ผ่านมาให้ชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้ว
จะเห็นว่า เรายังมีอะไรที่จะต้องทำกันอย่างมากมาย กว่าจะได้เสรีประชาธิปไตย
ในที่สุด ทุกอย่างจะต้องลงเอยที่รัฐธรรมนูญที่จะต้องตราหลักกว้าง ๆ ที่สามารถป้องกัน
อันตรายและวงจรอุบาทว์ พร้อมกับกำจัดภาคีมาร เสียให้พ้นจากแนวทางการบริหารอำนาจ
อธิปไตยไทยได้อย่างครอบคลุม แต่วันนี้ ผมประหลาดใจมาก ที่แทนที่นักการเมืองฝ่ายคน
เสื้อแดงหรือแกนนำ จะคิดถึงเรื่องนี้ แล้วเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ โดยการออกไปจัดตั้งกลุ่ม
ย่อยตามหัวเมืองทั่วประเทศ ให้เกิดการพูดคุยและร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อตอบสนองและป้องกัน
ปัญหาที่ประเทศเผชิญอยู่ทั้งหมด และสร้างอนาคตสำหรับชาติใหม่ ขณะเดียวกัน การร่าง
รัฐธรรมนูญนี้ จะทำให้คนที่ไม่เข้าใจปัญหาของประเทศ ได้รับฟังและมีหัวใจแดงเข้มแบบมี
หลักแน่นยิ่งขึ้น เป็นการปฎิวัติแบบสันติ และให้ผลถาวรตลอดชีวิต และอาจจะสานต่อไป
ถึงรุ่นลูกหลาน เป็นกุศโลบายที่ให้ผลที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญได้แล้ว เราก็สามารถกดดันหรือทำให้การนำร่างไปพิจารณาต่อไป จะลงเอย
อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล เพราะแค่การร่างรัฐธรรมนูญร่วมกันของคนเสื้อแดงทั่วประเทศ
ก็เป็นสิ่งที่ให้ผลคุ้มค่าอยู่แล้ว หากจำนวนคนเห็นด้วยมันเกินสามสิบล้านละก้อ พอเป็นรัฐบาลได้
ก็ถือโอกาสเอาเข้าสภาฯ โหวตรับเสียให้จงได้ หรือหากมีการเตะถ่วงจะให้โยนไปให้มีการ
ลงประชามติ เราก็มีเสียงสามสิบล้านเสียงคอยการันตีชัยชนะอยู่แล้ว
วันนี้ เราเสียพลังไปมากมายกับการถวายฎีกา ซึ่งผลมันจะออกมาอย่างไร ก็ไม่มีทางทำให้เราได้
เสรีประชาธิปไตยได้ เราต้องทำอะไรอีกมากมายนะครับ ต้องพยายามเตือนตัวเองให้ได้บ่อย ๆ
เอาคุณทักษิณมาในขณะที่ระบอบเป็นอย่างเดิม องค์ประกอบที่เป็นยาพิษสำหรับต้นประชาธิปไตย
มันยังอยู่ เราก็จะไปไม่ถึงไหน และอาจจะต้องพบกันวงจรอุบาทว์อีกมากมาย
และสามารถทำกันได้หลาย ๆ กลุ่ม พร้อม ๆ กัน ไม่ต้องรอสามเกลอครับ
เช่น บางพวกอาจจะถวายฎีกาเรื่องกฎหมายหมิ่น และการอภัยโทษนักโทษและผู้ต้องหา
บางพวกอาจจะถวายฎีกาเรื่องการจำกัดบทบาทองคมนตรีและการเลิกธรรมเนียมการโปรดเกล้า
บางพวกอาจจะหาทางขวางทางหากินและเอากฎหมายเล่นงานคณะโจรที่ปล้นบ้านผลาญเมือง
บางพวกอาจจะเน้นการขยายฐานมวลชนสู่เยาวชน
บางพวกอาจจะกดดันและกำจัดกลไกของอำมาตย์ทั้งบนดินและใต้ดิน
บางพวกอาจจะเน้นการรณรงค์แนวคิดต่าง ๆ ผ่านสื่อคนเสื่อแดงอย่างสอดประสานกันไปเรื่อย ๆ
ฯลฯ
ผมไม่มีเวลาเขียนมากกว่านี้นะครับ รายละเอียดหลายอย่าง พวกเราคนเสื้อแดงคงทราบกันดีแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ใครและสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคสำคัญในลำต้น รากและโคนรากของ
ประชาธิปไตยจอมปลอมของเมืองตอแหลที่ชื่อ สยาม แห่งนี้
หวังว่านี่จะเป็น reminder ที่ไม่ได้รับการเมินเฉยจากแกนนำทุกระดับ และพี่น้องเราที่พอจะ
มีศักยภาพช่วยกันคิดและทำนะครับ
ปรารถนาดีเสมอ
เพียงดิน
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สภาฯผ่านร่างกม. ภาษีน้ำมัน เสียงข้างมากฉลุย
ประชาชนเตรียมรับกรรมค่าน้ำมันแพง สภาฯ ใช้เวลาประชุม 7 ชม.ก่อนเห็นชอบร่าง พรก.แก้ไข พรบ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต 244 ต่อ 143 เสียง สส.เพื่อไทยให้ชาวบ้านจำชื่อ สส.ที่สนับสนุนร่าง กม.นี้..
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (19 ส.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้เข้าสู่การพิจารณาเรื่องด่วน คือ ยืนยันการอนุมัติ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2552 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภามีมติคว่ำไปแล้วนั้น ปรากฎว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นสอบถามประธานว่าเหตุใดเรื่องสำคัญเช่นนี้จึงไม่มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ให้ประชาชนที่สนใจได้รับทราบ โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนทุกคนอยากรู้ว่ารัฐบาลยังมีการเก็บภาษีน้ำมันอยู่อีกหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาวุฒิสภาก็ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม นายสามารถ ได้พยายามให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันโดยสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 10 นาที หลังจากเปิดการประชุมขึ้นอีกครั้งแต่ละฝ่ายก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม โดยฝ่ายรัฐบาลขอให้ที่ประชุมพิจารณาไปเลยขณะที่ฝ่ายค้านขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนเพื่อให้มีการถ่ายทอดสด ผลปรากฎว่าที่ประชุมส่วนใหญ่มีมติให้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ด้วยคะแนนเสียง 239 ต่อ 129 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 5
จากนั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เสนอร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดภาษีสรรพสามิตทันที โดยระบุว่ารัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยืนยันการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพราะมีสาระสำคัญในการกำหนดราคาภาษีน้ำมัน ของเหลวและแก๊ส ที่คล้ายๆ กัน เนื่องจากอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันได้ใช้มาเป็นเวลา 18 ปีแล้ว ทำให้อัตราภาษีไม่เหมาะสมกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันโลก ก่อนตรา พ.ร.ก.นี้ กรมสรรพสามิตได้จัดเก็บภาษีน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลในอัตราลิตรละ 5 บาท โดยน้ำมันทั้งสองชนิดมีการบริโภคในอัตราที่สูง รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บอัตราภาษีน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อรักษาความสมดุลในการหารายได้ของรัฐ และรักษาเสถียรภาพของประเทศ จึงจำเป็นต้องออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพื่อขยายอัตราภาษีน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยจะจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าภาษีที่กำหนดไว้ และให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงขอให้สภาฯยืนยันการอนุมัติ พ.ร.ก.นี้เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทางด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประกาศกลางสภาฯ ว่า ตนและชาวบ้านรับไม่ได้กับสิ่งที่รัฐบาลดำเนิน การ จึงขอออกจากห้องประชุม ไม่ขอร่วมพิจารณา พ.ร.ก.ฉบับนี้ จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีว่าเห็นด้วยที่วุฒิสภาไม่ผ่าน พ.ร.ก.ที่อัปยศ อดสู สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกหย่อมหญ้า ถือว่า ครม.ใจกล้าที่จะเสนอขึ้นภาษีน้ำมัน พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้เพราะหลังจากที่รัฐบาล เลิกเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนภาษีสรรพสามิตก็ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดก็ยังเก็บในอัตราที่สูง ทำให้ประชาชนโดนทุบหัวเพราะใช้น้ำมันแพงกว่าต่างประเทศอย่างชัดเจน ขณะที่กระทรวงพลังงานก็ไม่ดูแลเพราะรัฐมนตรีไม่รู้เรื่อง
"แม้แต่ราคาไข่ก็ต้องถือว่าไข่อภิสิทธิ์น่าเกลียดที่สุดเพราะราคาใบละ 3.31 บาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ 70 เหรียญต่อบาเรล เทียบกับไข่ของรัฐบาลสมัครมีราคาเพียง 3.25 บาทในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบสูงถึง 137 เหรียญต่อบาเรล" นายสุรพงษ์ กล่าว
ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามอธิบายหักล้างข้อกล่าวหา ตอบโต้ว่า ส.ส.เพื่อไทยอภิปรายโดยใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียว ไม่นำข้อมูลรอบด้านที่เป็นความจริงมาพูด โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จะนำรายชื่อ ส.ส.ที่ยืนยันร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้มาพิมพ์เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนทุกพื้นที่รับทราบว่า ส.ส.คนใดสนับสนุนให้รัฐบาลขึ้นภาษีขูดรีดประชาชน และขอให้ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน ให้ประชาชนจำชื่อ ส.ส.เหล่านั้นไว้และอย่าเลือกเข้ามาอีก
ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการประชุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อส.ส.ของ พรรคเพื่อไทยหลายคนได้ลุกขึ้นประท้วงที่ รมว.พลังงานกล่าวพาดพิง ทำให้ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงเช่นกัน จนเกิดเสียงโห่ฮา ทำให้นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาฯซึ่งทำหน้าที่ประธานต้องใช้ความเด็ดขาดสั่งให้ทุกสองฝ่ายนั่งลง
หลังจากที่ประชุมใช้เวลาอภิปรายถึงความเหมาะสมในการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว นานกว่า 7 ชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบยืนยันร่าง พ.ร.ก.นี้ด้วยคะแนนเสียง 244 ต่อ143 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 6 ถือว่าได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งและมีผลประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.ต่อไป และปิดการประชุมในเวลา 01.05 น. ของวันที่ 20 ส.ค.
ไทยรัฐ
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (19 ส.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้เข้าสู่การพิจารณาเรื่องด่วน คือ ยืนยันการอนุมัติ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2552 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภามีมติคว่ำไปแล้วนั้น ปรากฎว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นสอบถามประธานว่าเหตุใดเรื่องสำคัญเช่นนี้จึงไม่มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ให้ประชาชนที่สนใจได้รับทราบ โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนทุกคนอยากรู้ว่ารัฐบาลยังมีการเก็บภาษีน้ำมันอยู่อีกหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาวุฒิสภาก็ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม นายสามารถ ได้พยายามให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันโดยสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 10 นาที หลังจากเปิดการประชุมขึ้นอีกครั้งแต่ละฝ่ายก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม โดยฝ่ายรัฐบาลขอให้ที่ประชุมพิจารณาไปเลยขณะที่ฝ่ายค้านขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนเพื่อให้มีการถ่ายทอดสด ผลปรากฎว่าที่ประชุมส่วนใหญ่มีมติให้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ด้วยคะแนนเสียง 239 ต่อ 129 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 5
จากนั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เสนอร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดภาษีสรรพสามิตทันที โดยระบุว่ารัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยืนยันการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพราะมีสาระสำคัญในการกำหนดราคาภาษีน้ำมัน ของเหลวและแก๊ส ที่คล้ายๆ กัน เนื่องจากอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันได้ใช้มาเป็นเวลา 18 ปีแล้ว ทำให้อัตราภาษีไม่เหมาะสมกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันโลก ก่อนตรา พ.ร.ก.นี้ กรมสรรพสามิตได้จัดเก็บภาษีน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลในอัตราลิตรละ 5 บาท โดยน้ำมันทั้งสองชนิดมีการบริโภคในอัตราที่สูง รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บอัตราภาษีน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อรักษาความสมดุลในการหารายได้ของรัฐ และรักษาเสถียรภาพของประเทศ จึงจำเป็นต้องออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพื่อขยายอัตราภาษีน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยจะจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าภาษีที่กำหนดไว้ และให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงขอให้สภาฯยืนยันการอนุมัติ พ.ร.ก.นี้เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทางด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประกาศกลางสภาฯ ว่า ตนและชาวบ้านรับไม่ได้กับสิ่งที่รัฐบาลดำเนิน การ จึงขอออกจากห้องประชุม ไม่ขอร่วมพิจารณา พ.ร.ก.ฉบับนี้ จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีว่าเห็นด้วยที่วุฒิสภาไม่ผ่าน พ.ร.ก.ที่อัปยศ อดสู สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกหย่อมหญ้า ถือว่า ครม.ใจกล้าที่จะเสนอขึ้นภาษีน้ำมัน พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้เพราะหลังจากที่รัฐบาล เลิกเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนภาษีสรรพสามิตก็ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดก็ยังเก็บในอัตราที่สูง ทำให้ประชาชนโดนทุบหัวเพราะใช้น้ำมันแพงกว่าต่างประเทศอย่างชัดเจน ขณะที่กระทรวงพลังงานก็ไม่ดูแลเพราะรัฐมนตรีไม่รู้เรื่อง
"แม้แต่ราคาไข่ก็ต้องถือว่าไข่อภิสิทธิ์น่าเกลียดที่สุดเพราะราคาใบละ 3.31 บาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ 70 เหรียญต่อบาเรล เทียบกับไข่ของรัฐบาลสมัครมีราคาเพียง 3.25 บาทในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบสูงถึง 137 เหรียญต่อบาเรล" นายสุรพงษ์ กล่าว
ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามอธิบายหักล้างข้อกล่าวหา ตอบโต้ว่า ส.ส.เพื่อไทยอภิปรายโดยใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียว ไม่นำข้อมูลรอบด้านที่เป็นความจริงมาพูด โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จะนำรายชื่อ ส.ส.ที่ยืนยันร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้มาพิมพ์เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนทุกพื้นที่รับทราบว่า ส.ส.คนใดสนับสนุนให้รัฐบาลขึ้นภาษีขูดรีดประชาชน และขอให้ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน ให้ประชาชนจำชื่อ ส.ส.เหล่านั้นไว้และอย่าเลือกเข้ามาอีก
ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการประชุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อส.ส.ของ พรรคเพื่อไทยหลายคนได้ลุกขึ้นประท้วงที่ รมว.พลังงานกล่าวพาดพิง ทำให้ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงเช่นกัน จนเกิดเสียงโห่ฮา ทำให้นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาฯซึ่งทำหน้าที่ประธานต้องใช้ความเด็ดขาดสั่งให้ทุกสองฝ่ายนั่งลง
หลังจากที่ประชุมใช้เวลาอภิปรายถึงความเหมาะสมในการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว นานกว่า 7 ชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบยืนยันร่าง พ.ร.ก.นี้ด้วยคะแนนเสียง 244 ต่อ143 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 6 ถือว่าได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งและมีผลประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.ต่อไป และปิดการประชุมในเวลา 01.05 น. ของวันที่ 20 ส.ค.
ไทยรัฐ
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันที่ 17 สิงหาคม 2552 ดีเดย์ คนเสื้อแดง
คงยังไม่สายที่จะส่งแรงใจผ่านบล็อกนี้ไปให้คนเสื้อแดงที่กำลังเป็นตัวแทนของพวกเราอยู่ที่สนามหลวงในขณะนี้
หลายๆ ท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไปสนามหลวง ขอเชิญสวมเสื้อแดงและส่งแรงใจไปให้พวกเราที่กำลังฝ่าสายฝน(อาจจะเทียม)ที่สนามหลวง
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงปกป้องคุ้มครองผู้กล้าทั้งปวง .... ขอให้การถวายฎีกาครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้จงประสพผลสำเร็จ และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตาต่อพวกเรา โดยทรงใช้พระราชวินิจฉัยด้วยธรรม....
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ดีใจพบเพื่อนเก่าเสื้อแดงที่เชียงใหม่
ต้องขอโทษแฟนเสื้อแดงทุกคนที่หายไปนาน
เพราะมัววุ่นอยู่กับหลานยายเกิดใหม่ แถมงานศพหลานน้าอีกคน
ก็เลยไม่มีเวลามาอัพเดทบล็อกเลยค่ะ
แต่วันนี้ดีใจมากๆ ที่พบเพื่อนเก่าและเป็นเสื้อแดงจริงๆ มีคลื่นเอฟเอ็มแดงๆ เป็นของตัวเอง
ยังไม่เจอหน้ากันค่ะ แค่เพียงคุยจนอยากเห็นหน้ากันเวลานั้นเลย
อ้อๆ ลืมบอกว่า .............
เป็นสีแดงกันทั้งครอบครัวเลย
นับว่าเป็นแกนนำคนสำคัญเลยแหละค่ะ
ยินดีอีกครั้ง "เจ๊ต้อย และ ดีเจ. ป.ริมปิง" เจ้าของคลื่นสีแดง เอฟเอ็ม 89.5 "เสรีชนคนเชียงใหม่"
หวังว่าเราคงจะพบกันทั้งที่นี่ ที่ประชาไท และบนถนนสีแดงทุกสาย...
และขอให้โครงการ การตลาดทรัพย์ทองคำ (เพื่อคนเสื้อแดง) ที่กำลังดำเนินการอยู่ ประสบความสำเร็จค่ะ
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วิเคราะห์การเมือง จากไทยรัฐ
"ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย"
ชัดเจนจากปากอย่างเป็นทางการ โดยการแถลงยืนยันของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ปฏิเสธการลาออกจากตำแหน่ง หลังโดนหมายเรียกในข้อหา "ก่อการร้าย" ในคดีนำม็อบพันธมิตรฯยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง
ย้ำเสียงแข็งคนที่จะมีผลต่อการตัดสินใจมีแค่ 3 เสียง คือทนายความ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่สนเสียงนกเสียงกา ไม่ได้พูดถึงกระแสสังคม
แต่ในอารมณ์ที่จับกันได้ กับอาการสะอึก เมื่อเจอกับสารพัดคำถามของนักข่าวไล่ต้อนย้อนคอหอย ประเภทที่ว่า แม้จะแก้ลำออกตัว การยึดสนามบินจะไม่มีการใช้อาวุธ ต้องตีความก่อการร้าย
แต่มันก็สร้างความเสียหายเป็นแสนๆล้านบาท
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย การโดนหมายเรียกคดีก่อการร้าย ถือว่าหมดความสง่างามหรือไม่
"กษิต" หงุดหงิด หลุดคำ "ฉิบหายวายป่วง"
โดยอาการน่าเป็นห่วง เห็นจะมีแค่ "เดอะคึก" นายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนเดียวเท่านั้น ที่ออกมาการันตีตำแหน่งให้นายกษิต
โดยที่คนถืออำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้าย อย่างนายกฯอภิสิทธิ์ยังออกลีลากั๊ก
และก็เป็นอะไรที่ "ตามสูตร" ทุกครั้งที่เรื่องจวนตัว ชื่อของ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนประชาธิปัตย์เสมอ
ล่าสุดก็เป็นมวยระดับนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เองเลยที่ "ปล่อยของ" ออกมาตีปี๊บ "ข่าวกรอง" ร้อนๆได้รับรายงานว่า
อดีตนายกฯทักษิณบินโฉบมานอนพักโรงแรมหรูที่ประเทศมาเลเซีย มีแผนเดินทางต่อไปที่ฟิจิ
เสียดายที่เจ้าตัวไหวทัน หนีก่อนถูกรวบ
และก็รับมุกส่งไม้กันทันที ทีมงานกระทรวงการต่างประเทศของนายกษิต รีบเด้งรับ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากพบว่าอดีตนายกฯทักษิณอยู่จริง จะดำเนินการจับกุมตัวได้ทันที เพราะในประเทศที่ระบุนั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
มุกเก่า เดาทางได้
ไม่เร้าใจเหมือนมุกใหม่ที่เปลี่ยนเรื่องเรียกคนดูไปเรื่อยๆ กับงานแซยิดวันเกิดครบรอบ 60 ปี ที่พลพรรคเสื้อแดงจะจองสนามหลวงจัดงานใหญ่ให้อดีตนายกฯทักษิณในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้
ช็อตต่อเนื่องกับคิวล่ารายชื่อถวายฎีกาล้างโทษให้ "นายใหญ่"
เซียนการตลาด ปั่นกระแส ยึดพื้นที่ข่าวได้รายวัน
และที่เร้าใจไม่แพ้กัน กับรายการขบเหลี่ยมเฉือนคมในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล กับ "คุณชายสะอาด" อย่างนายกฯอภิสิทธิ์ เดี๋ยวตบหัวลูบหลัง เดี๋ยวลูบหลังตบหัว
ขู่กันฮึ่มฮั่ม ทำท่าจะหักกลางลำ
กองเชียร์ลุ้นกันระทึก
แต่ที่ไม่ตื่นเต้นกับใคร ในสายตาเซียนที่อ่านเกมทะลุ "เดอะอ๋อย" นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย วิเคราะห์ ขาดเลย
นายกฯอภิสิทธิ์และพรรคร่วมรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่า ยุบสภาเร็วไม่ได้แน่ ทั้งสองฝ่ายกำลังตกที่นั่งลำบาก คะแนนนิยมลดลงอย่างมาก จากผลเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนครและศรีสะเกษไม่เป็นไปตามเป้า ถ้ายุบสภาเร็วจะไปยึดพื้นที่อีสานไม่ได้
ประชาธิปัตย์จำกัดอยู่แค่นี้ ไม่รู้จะไปเอาเก้าอี้ ส.ส.เพิ่มที่ไหน เพราะที่นั่งพื้นที่สำคัญเต็มแล้ว ดังนั้น ถ้ายุบสภาตอนนี้ไม่มีทางดีกว่าเดิม
ประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต่างรู้อยู่แก่ใจ การพูดของนายกฯอภิสิทธิ์เรื่องยุบสภา ไม่ได้เป็นการขู่ใครเลย เป็นการพูดแบบแก้เกี้ยวไปให้พอมีท่ามีทางนิดหน่อยดักทางกันซะพระเอกเล่นไม่ออกเลย.
ทีมข่าวการเมือง
ไทยรัฐออนไลน์โดย ทีมข่าวการเมือง
8 กรกฎาคม 2552, 05:05 น.
ชัดเจนจากปากอย่างเป็นทางการ โดยการแถลงยืนยันของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ปฏิเสธการลาออกจากตำแหน่ง หลังโดนหมายเรียกในข้อหา "ก่อการร้าย" ในคดีนำม็อบพันธมิตรฯยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง
ย้ำเสียงแข็งคนที่จะมีผลต่อการตัดสินใจมีแค่ 3 เสียง คือทนายความ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่สนเสียงนกเสียงกา ไม่ได้พูดถึงกระแสสังคม
แต่ในอารมณ์ที่จับกันได้ กับอาการสะอึก เมื่อเจอกับสารพัดคำถามของนักข่าวไล่ต้อนย้อนคอหอย ประเภทที่ว่า แม้จะแก้ลำออกตัว การยึดสนามบินจะไม่มีการใช้อาวุธ ต้องตีความก่อการร้าย
แต่มันก็สร้างความเสียหายเป็นแสนๆล้านบาท
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย การโดนหมายเรียกคดีก่อการร้าย ถือว่าหมดความสง่างามหรือไม่
"กษิต" หงุดหงิด หลุดคำ "ฉิบหายวายป่วง"
โดยอาการน่าเป็นห่วง เห็นจะมีแค่ "เดอะคึก" นายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนเดียวเท่านั้น ที่ออกมาการันตีตำแหน่งให้นายกษิต
โดยที่คนถืออำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้าย อย่างนายกฯอภิสิทธิ์ยังออกลีลากั๊ก
และก็เป็นอะไรที่ "ตามสูตร" ทุกครั้งที่เรื่องจวนตัว ชื่อของ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนประชาธิปัตย์เสมอ
ล่าสุดก็เป็นมวยระดับนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เองเลยที่ "ปล่อยของ" ออกมาตีปี๊บ "ข่าวกรอง" ร้อนๆได้รับรายงานว่า
อดีตนายกฯทักษิณบินโฉบมานอนพักโรงแรมหรูที่ประเทศมาเลเซีย มีแผนเดินทางต่อไปที่ฟิจิ
เสียดายที่เจ้าตัวไหวทัน หนีก่อนถูกรวบ
และก็รับมุกส่งไม้กันทันที ทีมงานกระทรวงการต่างประเทศของนายกษิต รีบเด้งรับ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากพบว่าอดีตนายกฯทักษิณอยู่จริง จะดำเนินการจับกุมตัวได้ทันที เพราะในประเทศที่ระบุนั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
มุกเก่า เดาทางได้
ไม่เร้าใจเหมือนมุกใหม่ที่เปลี่ยนเรื่องเรียกคนดูไปเรื่อยๆ กับงานแซยิดวันเกิดครบรอบ 60 ปี ที่พลพรรคเสื้อแดงจะจองสนามหลวงจัดงานใหญ่ให้อดีตนายกฯทักษิณในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้
ช็อตต่อเนื่องกับคิวล่ารายชื่อถวายฎีกาล้างโทษให้ "นายใหญ่"
เซียนการตลาด ปั่นกระแส ยึดพื้นที่ข่าวได้รายวัน
และที่เร้าใจไม่แพ้กัน กับรายการขบเหลี่ยมเฉือนคมในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล กับ "คุณชายสะอาด" อย่างนายกฯอภิสิทธิ์ เดี๋ยวตบหัวลูบหลัง เดี๋ยวลูบหลังตบหัว
ขู่กันฮึ่มฮั่ม ทำท่าจะหักกลางลำ
กองเชียร์ลุ้นกันระทึก
แต่ที่ไม่ตื่นเต้นกับใคร ในสายตาเซียนที่อ่านเกมทะลุ "เดอะอ๋อย" นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย วิเคราะห์ ขาดเลย
นายกฯอภิสิทธิ์และพรรคร่วมรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่า ยุบสภาเร็วไม่ได้แน่ ทั้งสองฝ่ายกำลังตกที่นั่งลำบาก คะแนนนิยมลดลงอย่างมาก จากผลเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนครและศรีสะเกษไม่เป็นไปตามเป้า ถ้ายุบสภาเร็วจะไปยึดพื้นที่อีสานไม่ได้
ประชาธิปัตย์จำกัดอยู่แค่นี้ ไม่รู้จะไปเอาเก้าอี้ ส.ส.เพิ่มที่ไหน เพราะที่นั่งพื้นที่สำคัญเต็มแล้ว ดังนั้น ถ้ายุบสภาตอนนี้ไม่มีทางดีกว่าเดิม
ประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต่างรู้อยู่แก่ใจ การพูดของนายกฯอภิสิทธิ์เรื่องยุบสภา ไม่ได้เป็นการขู่ใครเลย เป็นการพูดแบบแก้เกี้ยวไปให้พอมีท่ามีทางนิดหน่อยดักทางกันซะพระเอกเล่นไม่ออกเลย.
ทีมข่าวการเมือง
ไทยรัฐออนไลน์โดย ทีมข่าวการเมือง
8 กรกฎาคม 2552, 05:05 น.
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
"หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร"
"หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร"
ฟังเพลงนี้กันเพลิน ๆ อย่าไปคิดว่าผมจะรู้อะไรทะลุปรุโปร่ง ไปเสียทุกเรื่อง ผมก็เมียงมองในเวปบอร์ดการเมือง และภ้าไม่ติดภารกิจเดินดุ่ม ๆ ไปร่วมกันคนเสื้อแดงทุกครั้งที่ชุมนุมกัน
การ ที่คุณวีระ โยนประเด็นนี้ออกมาดังโครม เมื่อคืนวันที่ 27 ที่ผ่านมา นอกจากสร้างความสะเทือนไปทุกวงการไม่ว่าสื่อ รัฐบาล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกองทัพประชาชนทั้งที่เล่นอินเตอร์เนท และไม่เล่นได้มหาศาล
กลายเป็นประเด็นร้อน ที่ดู ๆ แล้วอาจบานปลาย จนเป็นเหตุที่คาดไม่ถึงได้
ผม ว่าคุณวีระก็รู้ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าผมเป็นคุณวีระ ผมก็ต้องนึกในใจบ้างหละ (ว๊ะ) ว่า จะได้รับการตอบสนองในทางบวกหรือลบ กลับมากี่เปอร์เซนต์
หรือเป็นเพียงกลเกมบางอย่าง ที่ได้สร้างเกราะให้กับคนเสื้อแดงว่า ได้พยายามรอมชอมอย่างที่สุดแล้ว
เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ คนเสื้อแดงก็ไม่มีทางเลือก
ซึ่ง นั่นก็จะหมายถึง ขออภัยคนทั้งประเทศล่วงหน้า กับการชุมนุมที่อาจต้องสร้างความไม่สะดวกในการสัญจร เนื่องจากจำนวนผู้ร่วมชุมนุม มันจะมากขึ้น ๆ ไม่ว่าอนุสารรีย์ประชาธิปไตย กองทัพบก ไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล
เลิกพูดกันได้แล้วหละครับ คุณทักษิณ ยังไม่ใช่นักโทษ
หุ หุ หุ หุ ไปถามหมาถามแมวที่บ้านผม ถ้ามันพูดได้มันก็บอกว่า งานนี้เขากะเอาตาย
ผม ประทับใจนะ ที่คุณวีระพูด ตอนตี 4 แม้ตอนนั้นจะง่วงสุด ๆ (ฮา) ถึงระบบอำมาตย์ คืออะไร การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ 2475 การเอาคืน การผลัดกันแพ้ชนะ ในประวัติศาสตร์
คุณวีระ รู้ว่าอะไรมันคืออะไร
แต่ การเล่นหมากรุก มันต้องมองทั้งกระดาน เรือ ม้า โคน ขุน ไปจนถึงเบี้ยคว่ำ เบี้ยหงาย มันสำคัญ และต้องผูกกันทั้งกระดาน ไม่งั้นเดินหมากผิด***** เราอาจแพ้ทั้งกระดาน
ยุทธศาสตร์การขออภัยโทษ น่าจะเป็นการเช็คกำลัง และสื่อถึงจำนวนคนที่พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมาว่า มหาศาลขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องหวังผล แต่ในทางยุทธศาสตร์ ผมถือว่าสำคัญ
สำหรับท่าน ๆ ที่ก้าวพ้นจุดไปแล้ว แม้ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องออกมาโจมตีว่ามันเป็นสิ่งที่เสียหาย หรือไม่สมควร ก็เฉย ๆ เสีย ไม่ยินดียินร้าย เหมือนกับบริจาคเงินนั่นแหละ ผ้าป่ากองนี้ ผมไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องหยอดเงิน ลงไป ไม่ใช่มาห้ามกันอย่างโน้นอย่างนี้ รังแต่จะทะเลาะกันเสียเปล่า ๆ
ผมว่า จริง ๆ คนหลายกลุ่มรู้ว่า แดงเป็นกลุ่มปัจเจก สู้เพื่อใคร สู้เพื่ออะไร ปะปนอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ วันสนามรัชมังคลาแตกแล้ว
หาก แดงปัญญาชน คนหนุ่มสาว มองมาที่คนรากหญ้าหัวใจซื่อ ๆ เขาจะทำอะไรเพื่อคนที่เขารักศรัทธา อันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ก็มองแบบผ่าน ๆ ไปซะ อย่าเก็บเอามาเป็นประเด็นคิด ถกกันจนวงแตกเลยครับ
พวกเขาจะเอาไปเป็นจุดอ่อน โจมตีพวกเราเสียเปล่า ๆ
นาทีนี้ เรามีภารกิจที่สำคัญในการเดินหน้าร่วมกัน ในสงครามประชาชนอีกหลายภารกิจนัก
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ปล. ผมไม่ได้อยู่วงใน วงนอก ใกล้ชิดใคร ในแวดวงกรเมือง เป็นแค่ราษฏรเต็มขั้น คนหนึ่งที่ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงคนหนึ่งแค่นั้นเอง
*******************************
อันนี้เพิ่งเขียนตอนเช้าวันนี้
ผมไม่รู้นะว่าทำไมเครื่องเรารวน...
เพราะอะไร
เหนื่อยล้า
ขัดใจ
เสียความรู้สึก
เพราะแนวทางการต่อสู้มันไม่ได้ดั่งใจของเราทั้งหมดหรือ
แดงมาจากร้อยพ่อพันแม่ มีตั้งแต่ยากจนติดดินไปยันไฮโซ (แต่ไฮโซต้องปิด ๆ บัง ๆ กระมิดกระเมี้ยนหน่อย เดี๋ยวหม่อมแม่ที่บ้านจะค้อน)
แดงมีทั้งปัญญาชน เสรีชน ไปยันคนปลูกข้าวมาตั้งแต่เกิด
เราจะให้เห็นพ้องกันไปทั้งหมดได้อย่างไร
ลองเอาคนสิบคนความรู้ใกล้เคียงกันมานั่งวินิจฉัยปัญหาสักข้อรับรอง ก็ต้องมีคนเห็นไม่เหมือนกันทั้งหมด
ผมไม่ใช่ท้าวมาลีวราชจะมาหย่าศึก
ระหว่างใครกับใคร การสัปยุทธ ทางด้านความคิด เป็นเรื่องที่ดี
แต่ใคร่ขอให้พิจารณาถึงคำว่า กาละเทศะ ว่าอะไรควรนำมาถก อะไรควรนำมาตีแผ่
หรืออะไรควรไปพูดกันในวงใน
ไม่ใช่ไม่ถูกใจกู กูเล่นแมร่งเลย
อันนี้ไม่น่ารัก ...
สงครามใหญ่หรือเล็ก มันไม่ใช่ยุทธโธปกรณ์ที่เหนือกว่า
แต่มันอยู่ที่หัวใจ ผมเห็นพวกเขายืนแช่โคลนที่วัดไผ่เขียว กับสู้ฝนที่สนามหลวงแล้ว
ผมหมดคำถามว่า " หัวใจ " ของพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน
คู่ต่อสู้ทันสมัย ในยุทธการ หรือมีการอำนายความสะดวกที่ดีกว่า
มันไม่ใช่หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป
ไม่งั้นสหรัฐ ไม่หางจุกตูดออกมาจากเวียนนามหรอก
อะไรก็แล้วแต่ อย่าทำลายกำลังใจไพร่พล
หากมันแน่ชัดว่า เขาทำเพื่อคน คนเดียวโดยละทิ้งประชาชน
ผมคนหนึ่งหละ จะพิจารณาถึงพฤติกรรมทางการเมืองของตนเอง ซึ่งก็คงมีกำลังพลเพียงผมแค่คนเดียวหละ ( ฮา....) ว่าจะร่วมต่อสู้ต่อไปหรือไม่
หัวใจสีแดงไม่มีคำว่าใครเหนือไปกว่าใครหรอกครับ
ผ่าน 19 กันยายน 2549 มาจนถึงวันนี้
ลอง หลับตานึกถึงวันแรก ๆ หลังมันเอาปืนปล้นอำนาจที่ วรัญชัย โชคชนะ ไปยืนถือโทรโข่ง ด่า คมช. บนเก้าอี้พลาสติก กับมีคนแก่ ๆ มายืนถือตะเกียงน้ำมันวับ ๆ แวม ๆ มีคนยืนตบมือให้กำลังใจกันอยู่แค่ 10 กว่าคน และมีทหารนอกเครื่องแบบมายืนคุมเชิงเราอีก 30 (ฮา)
จนถึงวันนี้...
วัน ที่เราลุกขึ้นมายันมันด้วยตรีน โดนปาก โดนจมูก ของพวกจนมันถอยกรูด ๆ ลงไปเล่นยุทธวิธีใต้ดิน ที่มันคิดว่ามันเนียนที่สุด แต่ก็ทำอะไรเราไม่ถนัด เพราะเรารู้ทัน
ยุทธศาสตร์ มันอาจจะดูแหม่ง ๆ ขัดอกขัดใจอะไรเราบ้าง แต่การลงมาฟัดกันเองของความแตกต่างด้านความคิดจนไพร่พล เสียกำลังใจ มันได้คุ้มเสียกันหรือเปล่า (ว๊ะ)
อย่าลืมว่า คนที่เดินไปที่สนามหลวง ไปด้วยตีน อันมีคำสั่งมาจากหัวใจอันมั่นคง...
ไม่ได้จ้างมา จะได้ทำตามคำสั่งซ้ายหันขวาหันโดยไม่พิจารณาว่าอะไรคืออะไร
ถ้ามันเหนื่อยหนัก (หัวใจ) มันล้า มันหงุดหงิด
ไปทบทวนตัวเองนอนผึ่งพุงกินปูนึ่ง นอนบนเปลยวนฟังเสียงคลื่นริมทะเลซักสองสามวันก่อนก็ได้
เมื่อรู้แล้วว่าต้องการอะไรอย่างแท้จริง ค่อยลงมาลุยกันใหม่
**'งานเขียนของคุณสายลมรัก(1)
เว็บบอร์ดประชาไท
วันที่ 1-7-52***
ฟังเพลงนี้กันเพลิน ๆ อย่าไปคิดว่าผมจะรู้อะไรทะลุปรุโปร่ง ไปเสียทุกเรื่อง ผมก็เมียงมองในเวปบอร์ดการเมือง และภ้าไม่ติดภารกิจเดินดุ่ม ๆ ไปร่วมกันคนเสื้อแดงทุกครั้งที่ชุมนุมกัน
การ ที่คุณวีระ โยนประเด็นนี้ออกมาดังโครม เมื่อคืนวันที่ 27 ที่ผ่านมา นอกจากสร้างความสะเทือนไปทุกวงการไม่ว่าสื่อ รัฐบาล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกองทัพประชาชนทั้งที่เล่นอินเตอร์เนท และไม่เล่นได้มหาศาล
กลายเป็นประเด็นร้อน ที่ดู ๆ แล้วอาจบานปลาย จนเป็นเหตุที่คาดไม่ถึงได้
ผม ว่าคุณวีระก็รู้ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าผมเป็นคุณวีระ ผมก็ต้องนึกในใจบ้างหละ (ว๊ะ) ว่า จะได้รับการตอบสนองในทางบวกหรือลบ กลับมากี่เปอร์เซนต์
หรือเป็นเพียงกลเกมบางอย่าง ที่ได้สร้างเกราะให้กับคนเสื้อแดงว่า ได้พยายามรอมชอมอย่างที่สุดแล้ว
เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ คนเสื้อแดงก็ไม่มีทางเลือก
ซึ่ง นั่นก็จะหมายถึง ขออภัยคนทั้งประเทศล่วงหน้า กับการชุมนุมที่อาจต้องสร้างความไม่สะดวกในการสัญจร เนื่องจากจำนวนผู้ร่วมชุมนุม มันจะมากขึ้น ๆ ไม่ว่าอนุสารรีย์ประชาธิปไตย กองทัพบก ไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล
เลิกพูดกันได้แล้วหละครับ คุณทักษิณ ยังไม่ใช่นักโทษ
หุ หุ หุ หุ ไปถามหมาถามแมวที่บ้านผม ถ้ามันพูดได้มันก็บอกว่า งานนี้เขากะเอาตาย
ผม ประทับใจนะ ที่คุณวีระพูด ตอนตี 4 แม้ตอนนั้นจะง่วงสุด ๆ (ฮา) ถึงระบบอำมาตย์ คืออะไร การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ 2475 การเอาคืน การผลัดกันแพ้ชนะ ในประวัติศาสตร์
คุณวีระ รู้ว่าอะไรมันคืออะไร
แต่ การเล่นหมากรุก มันต้องมองทั้งกระดาน เรือ ม้า โคน ขุน ไปจนถึงเบี้ยคว่ำ เบี้ยหงาย มันสำคัญ และต้องผูกกันทั้งกระดาน ไม่งั้นเดินหมากผิด***** เราอาจแพ้ทั้งกระดาน
ยุทธศาสตร์การขออภัยโทษ น่าจะเป็นการเช็คกำลัง และสื่อถึงจำนวนคนที่พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมาว่า มหาศาลขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องหวังผล แต่ในทางยุทธศาสตร์ ผมถือว่าสำคัญ
สำหรับท่าน ๆ ที่ก้าวพ้นจุดไปแล้ว แม้ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องออกมาโจมตีว่ามันเป็นสิ่งที่เสียหาย หรือไม่สมควร ก็เฉย ๆ เสีย ไม่ยินดียินร้าย เหมือนกับบริจาคเงินนั่นแหละ ผ้าป่ากองนี้ ผมไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องหยอดเงิน ลงไป ไม่ใช่มาห้ามกันอย่างโน้นอย่างนี้ รังแต่จะทะเลาะกันเสียเปล่า ๆ
ผมว่า จริง ๆ คนหลายกลุ่มรู้ว่า แดงเป็นกลุ่มปัจเจก สู้เพื่อใคร สู้เพื่ออะไร ปะปนอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ วันสนามรัชมังคลาแตกแล้ว
หาก แดงปัญญาชน คนหนุ่มสาว มองมาที่คนรากหญ้าหัวใจซื่อ ๆ เขาจะทำอะไรเพื่อคนที่เขารักศรัทธา อันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ก็มองแบบผ่าน ๆ ไปซะ อย่าเก็บเอามาเป็นประเด็นคิด ถกกันจนวงแตกเลยครับ
พวกเขาจะเอาไปเป็นจุดอ่อน โจมตีพวกเราเสียเปล่า ๆ
นาทีนี้ เรามีภารกิจที่สำคัญในการเดินหน้าร่วมกัน ในสงครามประชาชนอีกหลายภารกิจนัก
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ปล. ผมไม่ได้อยู่วงใน วงนอก ใกล้ชิดใคร ในแวดวงกรเมือง เป็นแค่ราษฏรเต็มขั้น คนหนึ่งที่ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงคนหนึ่งแค่นั้นเอง
*******************************
อันนี้เพิ่งเขียนตอนเช้าวันนี้
ผมไม่รู้นะว่าทำไมเครื่องเรารวน...
เพราะอะไร
เหนื่อยล้า
ขัดใจ
เสียความรู้สึก
เพราะแนวทางการต่อสู้มันไม่ได้ดั่งใจของเราทั้งหมดหรือ
แดงมาจากร้อยพ่อพันแม่ มีตั้งแต่ยากจนติดดินไปยันไฮโซ (แต่ไฮโซต้องปิด ๆ บัง ๆ กระมิดกระเมี้ยนหน่อย เดี๋ยวหม่อมแม่ที่บ้านจะค้อน)
แดงมีทั้งปัญญาชน เสรีชน ไปยันคนปลูกข้าวมาตั้งแต่เกิด
เราจะให้เห็นพ้องกันไปทั้งหมดได้อย่างไร
ลองเอาคนสิบคนความรู้ใกล้เคียงกันมานั่งวินิจฉัยปัญหาสักข้อรับรอง ก็ต้องมีคนเห็นไม่เหมือนกันทั้งหมด
ผมไม่ใช่ท้าวมาลีวราชจะมาหย่าศึก
ระหว่างใครกับใคร การสัปยุทธ ทางด้านความคิด เป็นเรื่องที่ดี
แต่ใคร่ขอให้พิจารณาถึงคำว่า กาละเทศะ ว่าอะไรควรนำมาถก อะไรควรนำมาตีแผ่
หรืออะไรควรไปพูดกันในวงใน
ไม่ใช่ไม่ถูกใจกู กูเล่นแมร่งเลย
อันนี้ไม่น่ารัก ...
สงครามใหญ่หรือเล็ก มันไม่ใช่ยุทธโธปกรณ์ที่เหนือกว่า
แต่มันอยู่ที่หัวใจ ผมเห็นพวกเขายืนแช่โคลนที่วัดไผ่เขียว กับสู้ฝนที่สนามหลวงแล้ว
ผมหมดคำถามว่า " หัวใจ " ของพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน
คู่ต่อสู้ทันสมัย ในยุทธการ หรือมีการอำนายความสะดวกที่ดีกว่า
มันไม่ใช่หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป
ไม่งั้นสหรัฐ ไม่หางจุกตูดออกมาจากเวียนนามหรอก
อะไรก็แล้วแต่ อย่าทำลายกำลังใจไพร่พล
หากมันแน่ชัดว่า เขาทำเพื่อคน คนเดียวโดยละทิ้งประชาชน
ผมคนหนึ่งหละ จะพิจารณาถึงพฤติกรรมทางการเมืองของตนเอง ซึ่งก็คงมีกำลังพลเพียงผมแค่คนเดียวหละ ( ฮา....) ว่าจะร่วมต่อสู้ต่อไปหรือไม่
หัวใจสีแดงไม่มีคำว่าใครเหนือไปกว่าใครหรอกครับ
ผ่าน 19 กันยายน 2549 มาจนถึงวันนี้
ลอง หลับตานึกถึงวันแรก ๆ หลังมันเอาปืนปล้นอำนาจที่ วรัญชัย โชคชนะ ไปยืนถือโทรโข่ง ด่า คมช. บนเก้าอี้พลาสติก กับมีคนแก่ ๆ มายืนถือตะเกียงน้ำมันวับ ๆ แวม ๆ มีคนยืนตบมือให้กำลังใจกันอยู่แค่ 10 กว่าคน และมีทหารนอกเครื่องแบบมายืนคุมเชิงเราอีก 30 (ฮา)
จนถึงวันนี้...
วัน ที่เราลุกขึ้นมายันมันด้วยตรีน โดนปาก โดนจมูก ของพวกจนมันถอยกรูด ๆ ลงไปเล่นยุทธวิธีใต้ดิน ที่มันคิดว่ามันเนียนที่สุด แต่ก็ทำอะไรเราไม่ถนัด เพราะเรารู้ทัน
ยุทธศาสตร์ มันอาจจะดูแหม่ง ๆ ขัดอกขัดใจอะไรเราบ้าง แต่การลงมาฟัดกันเองของความแตกต่างด้านความคิดจนไพร่พล เสียกำลังใจ มันได้คุ้มเสียกันหรือเปล่า (ว๊ะ)
อย่าลืมว่า คนที่เดินไปที่สนามหลวง ไปด้วยตีน อันมีคำสั่งมาจากหัวใจอันมั่นคง...
ไม่ได้จ้างมา จะได้ทำตามคำสั่งซ้ายหันขวาหันโดยไม่พิจารณาว่าอะไรคืออะไร
ถ้ามันเหนื่อยหนัก (หัวใจ) มันล้า มันหงุดหงิด
ไปทบทวนตัวเองนอนผึ่งพุงกินปูนึ่ง นอนบนเปลยวนฟังเสียงคลื่นริมทะเลซักสองสามวันก่อนก็ได้
เมื่อรู้แล้วว่าต้องการอะไรอย่างแท้จริง ค่อยลงมาลุยกันใหม่
**'งานเขียนของคุณสายลมรัก(1)
เว็บบอร์ดประชาไท
วันที่ 1-7-52***
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ฝนกั้นแม้วไม่อยู่ โผล่โฟนอิน ร้องเพลงกล่อมแดง
ฝนถล่มเวทีชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงสนามหลวง เวทีเกือบพัง "ทักษิณ" โผล่ 3 ทุ่มครึ่ง ชื่นชมชาวสกลนคร ต่อสู้จนชนะทั้งอำนาจรัฐ-เงิน อ้อนอยากกลับบ้าน ก่อนร้องเพลง" รางวัลแด่คนช่างฝน" ให้ผู้ชุมนุมฟัง...
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (27 มิ.ย.) ว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณท้องสนามหลวง เริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. และคึกคักมากยิ่งขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทยอยเดินทางมาถึง โดยมีการอ่านแถลงการณ์บนเวทีปราศรัยเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลประกาศยุบสภา ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลเบื้องต้น ประมาณ 600 นาย กระจายกำลังดูแลอย่างเข้มงวด
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จะไม่มีการเคลื่อนขบวนการชุมนุมไปปิดสถานที่แห่งใดในคืนนี้ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโฟนอินมาที่เวทีปราศรัย ในเวลาประมาณ 20.30 น. โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจและแก้ข้อกล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวแผนตากสิน 2 รวมทั้งจะชุมนุมถึงเวลาประมาณ 06.00 น. วันพรุ่งนี้เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 19.45 น. การปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดงได้ยุติลงประมาณ 10 นาทีเนื่องจากพายุฝนกระหน่ำมาอย่างหนักที่ท้องสนามหลวง ผู้ชุมนุมต้องช่วยประคับประคองนั่งร้านเวที ส่วนฉากหลังที่เป็นแผ่นพลาสติกได้ขาดลงมา เมื่อมีพายุฝน แต่ผู้ชุมนุมบริเวณหน้าเวทียังคงปักหลักกางร่มและนำเสื้อกันฝนมาสวมใส่ฟังการปราศรัย หลังจากฝนได้เริ่มซาแกนนำก็ขึ้นปราศรัยอีกครั้ง
ต่อมาเวลา 21.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินมาที่เวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ว่า ฝนตกหนักพี่น้องยังไม่หนีกันเลย ถามว่าพี่น้องที่เคารพรักมีพี่น้องที่มาจากจ.สกลนครบ้างไหม ขอชื่นชมพี่น้องชาวสกลนครว่า ทั้งอำนาจรัฐ ทั้งเงินลงไปก็ไม่หวั่นไหวทำให้รู้สึกว่าประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น เห็นความเป็นธรรมที่อยู่ในประเทศไทย พี่น้องเสื้อแดงทุกแห่งเข้มแข็งมากๆ ก่อนโฟนอินมามีพี่น้องชาวศรีสะเกษโทรมาบอกว่าเป็นห่วงจังเลยเงินลงมาใหญ่แล้ว แต่วันนี้พี่น้องอีสานไม่เหมือนเดิมแล้วใครที่บอกว่าคนอีสานซื้อได้ไม่มีอีก แล้วขอปรบมือให้พี่น้องชาวศรีสะเกษกับชาวสกลนครและทั่วประเทศและเสื้อแดง
"เราต่อสู้กันมายาวนานและถูกรังแกมานาน วันนี้ก็ได้เจอกันอีกได้เห็น หน้า 3 เกลอ แต่ที่แน่ๆคิดถึงพี่น้องเมื่อกี้นี้ก่อนจะโฟนอินได้พูดกับคนเมืองแพร่พร้อม จะสู้และไม่ยอมถอยจนกว่าจะได้กลับบ้านเมื่อคืนมีชาวเสื้อแดง 8 คนมากินข้าวที่บ้านผมบอกว่าอยู่กับเสื้อแดงมาทุกนัดเสียดายที่ไม่ได้มาคืนนี้เอาเสื้อแดงมาฝากและร้องเพลงให้ผมฟัง เขาบอกว่า "บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้ามถอยไปฉันคงเก้อ ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอไม่หนีไปเสียก่อน" พี่น้องยังต่อสู้กันอยู่อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวผมอยากกลับบ้านแล้วนะอย่าทิ้ง ผมไว้คนเดียว" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า เตรียมหารือร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อจะได้กลับบ้าน พ.ต.ท.ทักษิณ จึงกล่าวขอบคุณ นายวีระ
ไทยรัฐออนไลน์
ขออภัย...อย่างแรง
ด้วยความรีบร้อน ในการตั้งหัวข้อโหวต จึงทำให้ผิดพลาด อย่างไม่น่าให้อภัย
"สมเด็จฮุนเซ็น" กลายเป็น "นายฮุนเซ็น" ไปเฉยเลย...
มิได้บังอาจ...แต่พลาดพลั้ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดฯ
"สมเด็จฮุนเซ็น" กลายเป็น "นายฮุนเซ็น" ไปเฉยเลย...
มิได้บังอาจ...แต่พลาดพลั้ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดฯ
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ตากสิน 2
ห้าวมาก เดี๋ยวได้ยิงกันแน่ๆ
กับภาพข่าวทหารกัมพูชาเสริมกำลังประชิดชายแดนเขาพระวิหารพรึบพรับ ระดมอาวุธหนักครบเครื่องทั้งปืนใหญ่ รถถัง กองทหาร
พร้อมรบเต็มอัตราศึก
รับมุกกับอาการเฮี้ยวของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีเขมร ประกาศดังๆกับสำนักข่าวซินหัวของจีน ให้ได้ยินกันไปทั่วโลก บอกปัดจะไม่รับฟัง "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ตัวแทนของรัฐบาลไทย
ในทุกกรณี ถ้ามีการพูดเรื่องเขาพระวิหาร
สงครามยั่วประสาท ศึกนอกประเทศได้ลุ้นระทึกใจ
แต่ศึกภายในประเทศ ยังต้องลุ้นว่า "ของจริง" หรือ "ของปลอม" กับแผน "ตากสิน 2" ที่ถูกตีปี๊บออกมาในจังหวะดักคอการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 27 มิถุนายน
จ้องป่วนเมืองในระดับสูงสุด
ตั้งธงไล่ล่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ล็อกเป้าบุคคลสำคัญระดับองคมนตรี หัวขบวนกลุ่มอำมาตย์ นักวิชาการเครือข่ายม็อบพันธมิตรฯ
เร้าศึกเดิมพันเกมอำนาจประเทศไทย
แต่นาทีนี้ก็ยังเห็นมีแค่ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กับลูกน้องสายตรงอย่าง "เดอะคึก" นายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ช่วยกันออกมาส่งมุกรับไม้
ยอมรับ เคยเห็นแผนลับผ่านตา
กับรายงานข่าวที่ไม่มีคนกล้าพูดยืนยันว่า พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.ได้เข้ารายงานกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เกี่ยวกับรายละเอียดของแผนตากสิน 2 ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ ของกลุ่ม นปช. ในวันที่ 27 มิถุนายน
เตรียมหน่วยจรยุทธ์ไล่ล่าบุคคลสำคัญที่เป็นปฏิปักษ์กับคนเสื้อแดง
แต่เมื่อหันไปที่หน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบโดยตรง บิ๊กตำรวจก็อึกๆอักๆ
โบ้ยหน่วยข่าวรายงานตรง "เทพเทือก"
ขณะที่ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ไม่ได้ออกอาการตื่นเต้น แค่สั่งการกองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ส่งกำลังพลสนธิกำลังตำรวจรับมือการชุมนุม
ประเมินสถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง
มองโลกแง่ดี มั่นใจกลุ่มเสื้อแดงเข้าใจวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ก่อเหตุวุ่นวาย
ในอารมณ์ที่คนนอกอย่าง "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบ.ทบ.ในฐานะบรมครูด้านการข่าว ก็เตือนสติให้ฟังหูไว้หู
อย่าเพิ่งปักใจ "แผนตากสิน 2"
แต่ที่ร้อนรนกว่าใคร นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์ ทางไกลข้ามประเทศให้ช่วยเคลียร์ข่าว ขอความเป็นธรรม ปฏิเสธแผนป่วนเมือง
ด่ากลับแค่แผนกลบขี้ของรัฐบาล
กลบเกลื่อนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของตัวเอง
และดุเด็ดตามสไตล์ "ตุ๊ดตู่" นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. บลัฟกลับแรงๆ "แม้แต่ควายยังไม่คิด"
สรุปเป็นเรื่องของคนที่คิดแบบควายๆ
แต่ไม่ชัวร์ว่า "ของจริง" หรือ "ของปลอม"
ตามเกม ณ นาทีนี้ก็เห็นแค่ยุทธศาสตร์ชิงกระแส รัฐบาลก็ได้ดักคอ นปช. แถมเบี่ยงประเด็นข่าว กลบเรื่องป่วนๆที่ถาโถมเข้าใส่
ในขณะคนเสื้อแดงเองก็จ้องดึงราคา แต่ยังไม่มีสัญญาณจะออกตัวแรงๆ
เบื้องต้นน่าจะหวังผลแค่กระตุ้นคิวเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษในวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน ลากยาวกระแส โหมแต้ม ให้คนของพรรคเพื่อไทยเข้าป้าย
เพื่อนำไปสู่ยุทธศาสตร์สุดท้าย
ตีปี๊บรัวกลองโชว์พลังความขลังยี่ห้อ "ทักษิณ" คือเทวดาอีสาน.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐ
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แดงตะวันออกที่พัทยา...
สายๆของวันที่ 23 มิย. รีบทำงานบ้านเสร็จ อ่านข่าวในเว็บต่างๆ แล้วก็มาจบที่เว็บประชาไท พอเห็นภาพแดงเตรียมงานชุมนุมที่พัทยาใต้ แยกเทพประสิทธิ์ ก็อดใจไม่อยู่
ออกไปเมื่อ 13.30 น. แวะซื้ออาหารหมา เทียนไหว้พระ ที่ตลาดโรงโป๊ะ เสร็จก็ตีตั๋วรวดไป พัทยา
ตอนนี้มีร้านรวงขายเสื้อผ้า อุปกรณ์สัญลักษณ์ของเสื้อแดง มาวางขายแล้ว แต่คนยังไม่มาก เอารถเข้าไปจอดข้างหลังเวที ดูลาดเลา ว่าเดินไกลใกล้แค่ไหน แล้วก็ขับรถออกมา ซูมถ่ายรูปอยู่อีกฝั่งถนน
โทรศัพท์หาลุงธรรม กำลังขับรถอยู่ ก็เลยคุยกับน้องนี ขวัญใจลุงธรรมแทน เสียดายลุงธรรมกับน้องนีมาไม่ได้ติดธุระที่ กทม.
แดงแจ๋ กลับมาบ้าน เตรียมทำกับข้าวเย็นรอลูก พอกลับมาก็ชวนกันมาพัทยาอีกรอบ หลังทานข้าวเย็น
เสียดายออกบ้านดึก ถึงลานเสื้อแดงก็สองทุ่มแล้ว วนหาที่จอดรถ 3 รอบไม่มี กะจะเอาไปจอดที่โลตัส แล้วนั่งมอไซค์ออกมา พอดี๊ พอดี เห็นที่ว่างในบริษัทหนึ่ง ขอ รปภ.เข้าไปจอด สำเร็จ ! เดินย้อนกลับมาอีกประมาณ 700 เมตร...
เข้าไปถึงในลาน ปรากฎว่าหน้าเวทีที่แอบจองไว้ในใจ เต็มหมดเลย เช่าเก้าอี้ สองตัว สองคนแม่ลูก ตัวละ 20 บาท ซื้อเสบียงและอุปกรณ์ ตีนตบ กับหัวใจตบ คนละอัน นั่งไกลเวทีเป็นร้อยเมตร แต่ก็พอซูมถ่ายภาพได้อยู่ แม้จะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
จุ๋มไพจิตร อักษรณรงค์ ร้องเพลง เพราะไม่มีตก เจ๊ดา ใจถึงของเราเสื้อแดง เพิ่งแปลงเพลงเสร็จ งานนี้เลยต้องเอาโฉนดขึ้นมากางร้อง แต่ก้ไม่น่าเกลียด ฮา..
คนมากพอสมควร ส่วนมากจะเข้ามาตอนดึกๆ หลังจากที่ทักษิณโฟนอินจบ คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็ทะยอยกลับออกไป
เราสองแม่ลูกยังนั่งฟังอยู่จนกระทั่ง 5 ทุ่มเศษๆ ก็ชวนกันกลับ ตอนนั้นจตุพรกำลังพูดได้สัก 15 นาทีแล้ว
กลับมาถึงบ้านรีบเปิด เว็บ Newsky เพื่อดูถ่ายทอดต่อ
เป็นคิวของณัฐวุฒิกำลังพูด...พูดสนุกมาก ไม่เครียดเลย แถมได้หัวเราะ สมกับเป็น อดีต "นักโต้คารม" จริงๆ
นั่งฟังจนถึงเกือบตีหนึ่ง ง่วงมาก ก็จบเองเลย...เข้านอนตอน "อริสกี้" ร้องเพลงพอดี...
เผยรายชื่อ 48 ส.ว.ไม่เห็นด้วยกับ พรก.กู้ 4 แสนล้าน ...
ตั้งข้อสังเกตบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ว่าด้วยการขึ้นภาษีน้ำมัน ส่วนใหญ่จะเป็นส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. พร้อมเปิดเผยรายชื่อ 48 ส.ว.ไม่เห็นด้วยกับ พรก.กู้ 4 แสนล้าน ...
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ว่าจากกรณี วุฒิสภามีมติคว่ำพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ว่าด้วยการขึ้นภาษีน้ำมัน ด้วยคะนนเสียง 58 ต่อ 33 งดออกเสียง 10 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือเป็นกฎหมายสำคัญฉบับแรกที่วุฒิสภาแสดงเจตนารมณ์ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล อย่างชัดเจน โดยจากการตรวจสอบรายชื่อส.ว.ที่ลงมติคว่ำกฎหมายดังกล่าว 58 คน พบว่าประกอบด้วย 1.นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร 2.พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา 3.นายจตุรงค์ ธีระกนก ส.ว.ร้อยเอ็ด 4.นายจรัล จึงยิ่งเรืองรุ่ง ส.ว.สระบุรี 5.นายจารึก อนุพงษ์ ส.ว.สรรหา 6.พล.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงษ์ ส.ว.มุกดาหาร 7.นางจิตร์ธนา ยิ่งทวีลาภา ส.ว.ชัยนาท 8.นายโชติรัส ชวนิชย์ ส.ว.สรรหา 9.นายฐิระวัตร กุลละวณิชย์ ส.ว.สรรหา 10.พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ ส.ว.สรรหา 11.นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา 12.นายต่วนอับดุลเล๊าะ ดาโอ๊ะมารียอ ส.ว.ยะลา 13.นายถนอม ส่งเสริม ส.ว.อุบลราชธานี 14.นายถาวร ลีนุตพงษ์ ส.ว.สรรหา 15.นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์
16.นายธนู กุลชล ส.ว.สรรหา 17.นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ส.ว.ภูเก็ต 18.นายธันว์ ออสุวรรณ ส.ว.ประจวบคีรีขันธ์ 19.นายธีระจิตต์ สถิโรตมวงศ์ ส.ว.สรรหา 20.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิษถ์ 21.นางนิลวรรณ เพชระบูรณิน ส.ว.สรรหา 22.นายบุญส่ง โควาวิสารัช ส.ว.แม่ฮ่องสอน 23.นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.มหาสารคาม 24.ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ส.ว.สรรหา 25.นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา 26.นายพีระ มานะทัศน์ ส.ว.ลำปาง 27.นายไพโรจน์ ถัดทะพงษ์ ส.ว.สรรหา 28.นายภิญโญ สายนุ้ย ส.ว.กระบี่ 29.นายมานพน้อย วานิช ส.ว.พังงา 30.นางยุวดี นิ่มสมบุญ ส.ว.สรรหา 31น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. 32.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา 33.นายวรวิทย์ บารู ส.ว.ปัตตานี 34.นายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ ส.ว.ลพบุรี
35.นายวรวุฒิ โรจน ส.ว.สรรหา 36.นายวันชัย แสงสุขเอี่ยม ส.ว.สรรหา 37.นายวิระ มาวิจักขณ์ ส.ว.สรรหา 38.นายแวดือราแม มะมิงจิ ส.ว.สรรหา 39.นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร ส.ว.สิงห์บุรี 40.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม 41.นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง 42.นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี 43.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธุ์ 44.นายสุโข วุฑฒิโชติ ส.ว.สมุทรปราการ 45.พล.ท.สุจินดา สุทธิพงศ์ ส.ว.สรรหา 46.นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ ส.ว.สรรหา 47.น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี 48.นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ส.ว.ชลบุรี 49.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา 50.นายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล 51.นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล ส.ว.สมุทรสาคร 52.นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ส.ว.สรรหา 53.นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา 54.พล.อ.อ.อาคม กาญจนหิรัญ ส.ว.สรรหา 55.นายธวัชชัย บุญมา ส.ว.นครนายก 56. นางพรทิพย์ โล่วีระ จันทรรัตน์ปรีดา ส.ว.ชัยภูมิ 57.นางสมพร จูมั่น ส.ว.เพชรบูรณ์ 58.นางอรพินท์ มั่นศิลป์ ส.ว.นครสวรรค์
สำหรับ ผู้ที่งดออกเสียงจำนวน 10 คนประกอบด้วย 1.นายขวัญชัย พนมขวัญ ส.ว.แพร่ 2.นายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง 3.น.ส.ทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา 4.นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา 5.นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา 6.นายรุสดี บินหะยีสะมะแอ ส.ว.สรรหา 7.นายสงคราม ชื่นภิบาล ส.ว.สรรหา 8.พ.ต.อ.สนธยา แสงภา ส.ว.สรรหา 9.นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช 10.นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา และไม่ลงคะแนนเสียง 1 คนคือ นางสุกัญญา สุดบรรทัด ส.ว.สรรหา เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่จะเป็นส.ว.สรรหาและ อยู่ในกลุ่ม 40 ส.ว.ด้วย
นอกจากนี้สำหรับพ.ร.ก.ให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกวุฒิสภาอย่างฉิวเฉียดด้วยมติ 69 ต่อ48 งดออกเสียง 11 จากการตรวจสอบพบว่าผู้ที่ลงมติไม่เห็นด้วย 48 คนประกอบด้วย 1.กฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร 2.นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี 3.น.ส.เกศสิณี แขวัฒนะ ส.ว.พระนครศรีอยุธยา 4.พล.ต.ต.ขจร สัยวัตร์ ส.ว.หนองคาย 5.นายคำณูญ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา 6.นายจำนงค์ สวมประคำ ส.ว.สรรหา 7.นางจิตร์ธนา ยิ่งทวีลาภา ส.ว.ศรีสะเกษ 8.นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร ส.ว. เชียงใหม่ 9.นายโชติรัส ชวนิชย์ ส.ว.สรรหาร 10.นายฐิระวัตร กุลละวณิชย์ ส.ว.สรรหา 11.พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ ส.ว.สรรหา 12.นายถนอม ส่งเสริม ส.ว.อุบราชธานี 13.นายธวัช บวรวนิชยกูร ส.ว.สรรหา 14.นางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ส.ว.ภูเก็ต 15.นายบุญส่ง โควาวิสารัช ส.ว.แม่ฮ่องสอน 16.ประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี 17.พล.ท.พงษ์เอก อภิรักษ์โยธิน ส.ว.พะเยา
18.นายพรชัย สุนทรพันธุ์ ส.ว.สรรหา 19.นายพีระ มานะทัศน์ ส.ว.ลำปาง 20.นายมงคล ศรีคำแหง ส.ว.จันทบุรี 21.พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา 22.นางยุวดี นิ่มสมบุญ ส.ว.สรรหา 23.นางรสสุคนธ์ ภูริเดช ส.ว.สรรหา 24.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา 25.นายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ ส.ว.ลพบุรี 26.นายวรวุฒิ โรจนพานิช ส.ว.สรรหา 27.นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา 28.นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา 29.นายศุภวัฒน์ เทียรถาวร ส.ว.สิงห์บุรี 30.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม 31.นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี 32.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธุ์ 33.นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช 34.นางสุกัญญา สุดบรรทัด ส.ว.สรรหา 35.นายสุโข วุฑฒิโชติ ส.ว.สมุทรปราการ 36.พล.ท.สุจินดา สุทธิพงศ์ ส.ว.สรรหา 37.นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ ส.ว.สรรหา 38.น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี 39.นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี 40.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล ส.ว.กาญจนบุรี 41.นายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล 42.นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล ส.ว.สมุทรสาคร 43.นายโสภณ ศรีมาเหล็ก ส.ว.น่าน 44.นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา 45.นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ส.ว.สรรหา 46.นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา 47.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ขอนแก่น 48.พ.ต.อ.พายัพ ทองชื่น ส.ว.สรรหา
ส่วนผู้ที่งดออกเสียง จำนวน 11 คนประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงษ์ ส.ว.มุกดาหาร 2. น.ส.ทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา 3.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิษถ์ 4.นายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.สรรหา 5.นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา 6.พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี 7.นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ ส.ว.ยโสธร 8.น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. 9.นายรุสดี บินหะยีสะมะแอ ส.ว.สรรหา 10พล.ต.อ.สนธยา แสงเภา ส.ว.สรรหา 11.นายสุเมธ ศรีพงษ์ ส.ว.นครราชสีมา เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่ม 40 ส.ว.งดออกเสียง ขณะที่ส.ว.เลือกตั้งไม่เห็นด้วยจำนวนมาก
ไทยรัฐออนไลน์โดย ไทยรัฐออนไลน์
24 มิถุนายน 2552, 05:00 น.
tags:
รายชื่อ,ส.ว.,ไม่เห็นด้วย,พ.ร.ก.
ไทยรัฐ
77 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ที่บริเวณหมุดคณะราษฏร ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อจัดกิจกรรมรำลึกการครบรอบ 77 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 กล่าวสดุดีคณะราษฎร..
เมื่อเวลา 06.05 น. วันนี้ (24 มิ.ย.) สมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภาคประชาชน ประมาณ 100 คน นำโดยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข พร้อมด้วยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน พร้อมด้วยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และนายวัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ได้มารวมตัวที่บริเวณหมุดคณะราษฏร ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อจัดกิจกรรมรำลึกการครบรอบ 77 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวสดุดีวีรชนคนในคณะราษฎร เช่น นายปรีดี พนมยงค์ พล.อ.พระยาพหลพยุหเสนา นายเตียง ศิริขันธ์ เพื่อปลุกจิตสำนึกรักชาติรักประชาธิปไตยให้เกิดขวัญกำลังใจในการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยแก่ประชาชน กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมยังได้ร่วมจุดเทียนสีแดง วางดอกกุหลาบประดับที่หมุด และยืนไว้อาลัยให้กับวีรชนคณะราษฎร ก่อนจะสลายตัวอย่างสงบ ในเวลา 07.00น .ก่อนจะกลับมารวมตัวชุมนุมจัดกิจกรรมปราศรัยอีกครั้งที่ท้องสนามหลวงในช่วงเย็น
ไทยรัฐ
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ชวรัตน์ยกธง....เพื่อไทย แรง !!!
"ชวรัตน์" แถลงยอมรับความพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อม สกลนคร
ชี้ กระแส "ทักษิณ" ยังแรงเนื่องจากมีการโฟนอิน ด้าน "เฉลิม"ลั่นเอาชนะได้แน่ ทุกอำเภอ เพื่อไทยคะแนนนำ ...
ช่วงเย็นวันนี้ (21 มิ.ย.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แถลงข่าวยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จ.สกลนคร โดยให้เหตุผลที่สู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับกระแสของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการโฟนอิน และ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คะแนนของพรรคเพื่อไทยเป็นต่อพรรคภูมิใจไทย รวมถึงมีใบปลิวโจมตีที่ยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของใคร ทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจผิด
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่อาจชี้ขาดถึงอนาคตได้ โดยพรรคพอใจคะแนนเสียงครั้งนี้ และขอบคุณทุกคะแนนเสียง ของประชาชน ใน จ.สกลนคร หลังจากนี้จะตั้งใจทำงาน เพื่อให้ประชาชนเห็นผลงานของพรรคภูมิใจไทย
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย แถลงว่า จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ หลังผลการนับคะแนนไปแล้วกว่า 50% ในพื้นที่ อ.คำตากล้า อ.ส่องดาว และ อ.เจริญศิลป์ มีคะแนนทิ้งห่างผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทยมากกว่า ร้อยละ 80 ขณะพื้นที่ อ.บ้านม่วง และ อ.สว่างแดนดิน คะแนนยังสูสีห่างกันไม่มาก มั่นใจว่าอาจจะรู้ผลการนับคะแนนไม่น่าจะเกินเวลา 18.30 น. ยอมรับว่าหนักใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจาก ต่อสู้เหน็ดเหนื่อยมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ร่วมสังเกตการณ์หลังปิดหีบเลือกตั้ง และการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งที่ 14 15 และ 16 บริเวณโรงเรียนอนุบาลสว่างแดนดิน พร้อมกล่าวแสดงความพอใจการจัดการเลือกตั้ง หลังตระเวนสังเกตการณ์หน่วยเลือกตั้ง พบว่าไม่มีเหตุรุนแรง โดยจะนำข้อขัดข้อง และปัญหาการเลือกตั้งที่ จ.สกลนครไปเป็นบทเรียน ในการเลือกตั้งที่ จ.ศรีสะเกษ ส่วนการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง พรรคการเมือง สามารถทำได้ และ กกต.พร้อมประกาศรับรองผล ภายใน 30 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผลการนับคะแนนใน 5 อำเภอของเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดสกลนคร ผู้สมัครหมายเลข 2 นายอนุรักษ์ บุญศล จากพรรคเพื่อไทย ยังคงมีคะแนนที่ทิ้งห่างผู้สมัครหมายเลข 1 จากพรรคภูมิใจไทยอยู่ในทุกอำเภอ จากนั้น จะต้องรอลุ้นข้อร้องเรียนของพรรคภูมิใจไทย ยื่นเรื่องให้ กกต. ร้องพรรคเพื่อไทย กรณีมีการปราศรัยระบุว่า พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และเรื่องใบปลิวโจมตี ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ไทยรัฐ
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ลุงธรรม...คนเสื้อแดงหัวใจประชาธิปไตย
ลุงธรรม
icon ID # 810231 - โพสต์เมื่อ : 2009-06-19 15:13:26 _ ปิดข้อความ ex-link
เรียนคนเสื้อแดงหัวใจประชาธิปไตยทุกท่าน.....โปรดฟังลุงนิด
เวลาลุงเดินทางไปแจกยาหยอดตาในที่ต่าง ๆ
แจก ซีดี แจกเอกสาร นั่งอธิบายให้เขาฟัง..
ลุงได้สัจธรรมหลายอย่าง ซึ่งสรุปได้ดังนี้
- ใครที่คิดเหมือนเรา อย่าไปทึกทักหรือด่วนสรุปว่าเขาเป็นพวกเรา
หรือเขาเป็นคนเสื้อแดง เขาอาจเกลียดรัฐบาลเหมือนเรา
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดสีเสื้อต่าง ๆ เหมือนกัน
บางคนเกลียดทั้งเหลืองแดง บางคนเกลียดสีเดียว บางคน เกลียดสีหนึ่ง
เฉย ๆ กับอีกสีหนึ่ง บางคนชอบเจ้าและชอบทักษิณ บางคนไม่ชอบทั้ง
2 อย่าง สรุป เจอแต่ร้อยพ่อพันแม่ นี่คือความหลากหลายทางชีวภาพ
ของมวลมนุษย์
อย่าไปเข้าใจว่าทุกคนเข้าใจภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดงว่าเป็นพระเอก
ผู้รักษาประชาธิปไตย ทำเพื่อคนส่วนรวม ภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่ออกไป
สมัยสงกรานต์เลือด การปิดถนน ปิดอนุสาวรีย์ การบุกพัทยายุติการประชุม
ระดับชาติ การทุบรถนายก รถนิพนธ์ พร้อมพันธ์ การยึดรถแก็ส ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ ชาวบ้านยังไม่เข้าใจ จริงอยู่การยึดสนามบิน การยึดทำเนียบ
เขารู้แล้วว่าเสื้อหลืองทำ เขารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความ
ว่าเขาเกลียดทางโน้นแล้วจะต้องหันมาเชียร์คนเสื้อแดง
- การคงอัตลักษณ์ด้วยการใส่เสื้อแดงทำได้ในบางครั้ง
แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์
การรบเพื่อชัยชนะ จะไม่มีรูปแบบ เพราะถ้ามีรูปแบบ เขาจับได้
แก้ทางถูก ต้อง ลับ ลวง พราง เอาศัตรูของศัตรูเป็นมิตร
แกล้งกล่าวหามิตรเป็นศัตรู เหมือนการเล่นฟุตบอลแต่ละนัด
เจอแต่ละทีมไม่เหมือนกัน ต้องปรับแท็คติคตลอดทุกนัด ตลอดเวลา
คู้ต่อสู้เอากองหน้าร่างโย่งลงเพื่อใช้ลูกฆม่งในการทำประตู
เราก็ต้องเอาแบ็คร่างโย่งลงประกบ เขาเอาไอ้โย่งออก เอากองหน้าตัวเล็ก
ว่องไวเลื้อยเก่งลงเล่นแทน เราก็ต้องเปลี่ยนตาม ดังนั้นกลยุทธของคน
เสื้อแดงในแต่ละเหตุการณ์ควรปรับเปลี่ยนไปด้วย
ตัวอย่าง สมัยก่อนเขาใช้ทหาร เดี๋ยวนี้เขาใช้ศาล
เขาเอาศัตรูคือเนวินมาเป็นมิตร เขาใส่เสื้อแดงทำลายคนเสื้อแดง
ฯลฯ แล้วจะตามมาเรื่อย ๆ ล่าสุดอาจจะจัดเวทีคนเสื้อแดง
พูดหมิ่นแล้วออกข่าวไปทั่ว วิชามารแบบนี้เขาทำมานานเป็น 10
ปีแล้ว ดังนั้นเราต้องปรับกลยุทธของเราบ้าง
เวลาลงภาคสนาม เราจะไม่ไปบอก แต่จะปล่อยให้เขาคุย ให้เขาระบาย
ให้เขาออกความเห็น ถามเขาไปเรื่อย ๆ คิดยังไง ทำไมถึงคิด ถามไป
เรื่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็จะเกิดสติปัญญาเอง เราเป็นเพียงคนชี้แนะ เป็นสหาย
ไม่ใช่เป็นอาจารย์ ไม่มีใครชอบให้ใครไปสอนใคร ถ้าทำให้เขาตาสว่าง
และคิดเองได้ ด้วยหลักการและเหตุผล เขาจะภูมิใจ และจดจำแม่น
และจะเป็นแนวร่วมที่ดี
สรุป ลุงอยากให้มีการ Brainstorm ระหว่างพวกเราเพื่อ
หาแนวทางรบและรุกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับชัยชนะ
แต่ขอเป็น Positive และ Creative Idea
ไม่ใช่ Negative หรือ Passive หรือ Destructive
(ความคิดเชิงบวก สร้างสรรค์ ไม่ทำลายล้างซึ่งกันและกัน)
ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ เอาอัตตา ความอิจฉา
ความชอบ ความไม่ชอบ ความยึดมั่นถือมั่น
ในความเห็นของตนเป็นใหญ่
(เอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ออกจากปัญหา ออกจากข้อถกเถียง)
อย่ายึดมั่นในตัวบุคคล ขอให้ยึดหลักการความเป็นสากล
ในการแก้ปัญหา
ทำจิตว่างฟังความคิดเห็นของซึ่งกันและกัน
หาข้อดี ข้อเสีย มาถกกัน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไปหมด
หรือเสียไปหมด ระบบประชาธิปไตยคือระบบที่เลวน้อยที่สุด
มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
อย่าต่อว่ากันว่าเป็นแดงเทียม แดงเนียน เหลืองซ่อนรูป
สุดท้าย อยากให้ทดลองคิดกรอบดูบ้าง
เหมือนสมัยโบราณที่ปีธากอรัสที่คิดนอกกรอบว่าโลกเราน่าจะกลม
ไม่ใช่แบน เหมือนพระุพุทธองค์ที่ค้นพบหลักธรรมชาติของมนุษย์
ทั้งโลก ว่าทุกอย่างที่เป็นผลเกิดจากมาความคิดและการกระทำของ
เราทั้งสิ้นไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาทำหรือมากำหนดให้เราเป็นเช่นนั้น
เช่นนี้ การอยู่บนโลกอย่างมีความสุขร่วมกัน เพียงแค่ คิดดี ทำดี พูดดี
ต่อกัน อีกนัยหนึ่งละชั่วหรือละในการสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและ
ตนเอง (อบายมุข กิ๊ก ฯลฯ) ทำดีกับเพื่อนมนุษย์ และทำใจให้สงบเพื่อ
ต่อสู้กับกิเลสในใจ (ทุกข์เพราะอยาก ทุกข์เพราะยึด ทุกข์เพราะคิด)
ที่สอนกันในเรื่องสววรค์ นรก นอกโลก เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็คือกุศโลบายในการสอนบัวใต้น้ำ หรือสอนคนสมัย2500 ปีมาแล้ว
ที่ยังไม่มีปัญญาพอที่จะดับทุกข์ด้วยตนเอง เลยถูกเจ้าลัทธิหลอกลวง
ให้นับถือ ศิวะ นารายณ์ คนครึ่งสัตวพิฆเนศ ฯลฯ
เช่นการสอนที่บอกว่า พระพุทธองค์ เกิดแล้วเดินได้เลย 7 ก้าว
คือการแก้ลำ เอาคนธรรมดาถึงแม้ว่าจะเป้นราชาก็ตาม
ไปหักล้างกับพวกเทพ ก้ต้องเอาคนธรรมดามาสมมติเป็นเทพ
เพื่อสู้กับเทพ เหมือนสมัยนี้เด๊ะ คนไทยหลายสิบล้านคน
กัยังคงติดฝิ่นงมงายกับเทวดาจำแลงอยู่
สมัยโบราณ มีเรื่องสำคัญที่สุด 2 ประการ คือการหาเลี้ยงปากท้องด้วยการกสิกรรม ต้องพึ่งธรรมชาติ และการป่วยไข้ ที่คนจะไม่รู้สาเหตุ ดังนั้น พ่อมดหมอผีเจ้าลัทธิจึงเข้ามีบทบาทกลายเป็นที่พึ่งทางใจทางจิต ทางพิธีกรรม บวงสรวง ขอฟ้าขอฝน ขอสิ่งศักดิ์
สิทธิ์ หลอกปรุงยาหม้อให้คนป่วยกิน คนป่วยไม่หาย กลัวเสียชื่อ บอกว่าผีสิงเอาคนป่วยไปฆ่า แต่ปัจจุบัน ระบบชลประทานดี การแพทย์ก้าวหน้า เรื่องพวกนี้ก็ซาไป
แต่เจ้าลัทธิบางคนเพาะเชื้อชั่วไว้หลอกแดกแบ่งแยกศาสนาพุทธออกเป็นนิกายต่าง ๆ แล้วแปลงตนเป็นอวตารแอบอ้างบ้า ๆ บอ ๆ
รอองค์ใหม่มาเกิด ไร้สาระ ทำมาหากินกับคนด้วยการ
สร้างความหวัง ขายบุญ ขายวีซ่าไปสวรรค์ ทุกวันนี้
ถ้าเราลด ละ เลิกกิเลสได้ เราก็คือปัจเจกพระพุทธเจ้า
ไม่ต้องรอใครมาอวตารหรอก
ขอบคุณลุงธรรม และเว็บบอร์ดประชาไท
"ทักษิณ" เปิดพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มใหม่
"ทักษิณ" เปิดพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ มีเนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายของทักษิณ ในการแก้ปัญหาความยากจนในเมืองไทยวางขายทั่วอาหรับ-เอเชีย เตรียมวางขายในไทยเร็ว ๆ นี้...
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) ร้านหนังสือต่าง ๆ ในหลายเมืองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้วางจำหน่าย พ็อคเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้ชื่อหนังสือว่า “ทักษิณ ชินวัตร Tackling Poverty: The Policy That Change Thailand, And How They Can Change The World ” มีเนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายของทักษิณ ในการแก้ปัญหาความยากจนในเมืองไทย และการนำไปใช้เพื่อพลิกโฉมโลก
ทั้งนี้ ผู้เขียนเป็นบรรณาธิการข่าวชื่อดังชาวอินเดีย ซึ่งทำงานให้กับนิตยสาร CEO สื่อยักษ์ใหญ่ด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สำหรับ หน้าปกหนังสือ มีข้อความว่า “ขออุทิศความดีของหนังสือนี้ให้แก่พี่น้องชาวไทยทุกคน” มีความหนาจำนวน 202 หน้า เขียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่มโดยมีเนื้อหา 14 บท เช่น การก่อตัวของทักษิโณมิค การปฏิรูประบบสาธารณสุข การปฏิรูปศึกษา การปฏิรูปที่ดิน กองทุนหมู่บ้าน การสร้างอนาคตที่ดีกว่า และการวิเคราะห์วิสัยทัศน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากการแสดงปาฐกถาด้านเศรษฐกิจในเวทีระดับโลก
นอกจากนี้ เนื้อหาช่วงหนึ่งของหนังสือ ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งผู้เขียนเดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลด้วยตนเองที่เมืองไทย เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2552 ขณะที่เกิดเหตุการณ์เมษาเลือดอีกด้วย ทั้งนี้ พ็อคเก็ตบุ๊คเล่มดังกล่าว มียอดพิมพ์ครั้งแรก 10,000 เล่ม และวางจำหน่ายทั้งในกลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งบางประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เตรียมที่จะแปลพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มดังกล่าว เป็นภาษาไทย เพื่อวางจำหน่ายในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ขอบคุณ คุณตะวันแดง/ประชาไท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)