วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ โดย คุณ จอม เพชรประดับ
คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร รายการเอ๊กคลูซีฟ โดย คุณ จอม เพชรประดับ ทาง FM 100.5 MHz
Comments are off for this post
เมื่อ เวลา 10.30 น. วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุอสมท. คลื่น 100.5 เมกกะเฮิร์ต ในรายการเอ๊กคลูซีฟ ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ
โดยผู้ดำเนินรายการได้สอบถามถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้นำเงินจากที่ใดมาดำเนินกิจการเหมืองเพชร หรือมีการฟอกเงินไว้ในรัฐบาลที่แล้ว
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “หลังจากที่ตนออกจากประเทศไทย ก่อนปฏิวัติ มีคนลือว่า ตนขนเงินออกมา 30 กระเป๋าเดินทาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครทำได้ ขอให้อย่าหลงประเด็น อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว หากจำได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยซื้อทีมฟุตบอล แล้วก็ขายทีมฟุตบอลแล้วนำผลกำไรมาลงทุนเหมืองเพชร”
ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดเงินที่ประเทศอังกฤษ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ตน ไม่มีเงินฝากที่ประเทศอังกฤษ ทั้งหมดเป็นการปล่อยข่าวทำร้ายกัน เมื่อขายทีมฟุตบอลได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เพียงพอจะลงทุนในเหมือง เพราะราคาเองก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร”
เมื่อถามว่า การที่ท่านเดินทางเข้าประเทศต่างๆนั้น ต่างประเทศรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบ้างหรือไม่
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “เขาไม่กระอักกระอ่วนตน แต่เขากระอักกระอ่วนรัฐบาลไทยมากกว่า เขามีอธิปไตยในดินแดนของเขาจะให้ใครอยู่หรือจะให้ใครไปมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่รัฐบาลไทยทำจดหมายถึงทุกประเทศต่างประเทศเขาบอกเขารำคาญ และก็ยังบอกอีกว่าเขารำคาญรัฐบาลไทยยังไม่ต้องมาประเทศเขาก็ดี”
เมื่อถามว่า มีประเทศใดที่เขาบอกว่าท่านไม่ทำตามคำสั่งศาลหรือไม่
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ไม่มี เขาเห็นคำพิพากษากรณีที่ดินรัชดาเขาก็ขำแล้ว มีอย่างที่ไหนคนซื้อไม่ผิดคนขายไม่ผิด แต่มันตลกตรงที่นายกฯเอาบัตรประชาชนไปรับรองให้เมียซื้อที่ดินเขาบอกผิด แต่ที่บุกรุกที่ดินป่าสงวนไม่เป็นไร การเมืองไทยตอนนี้มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงข้าม”
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าท่านมีเครื่องบินส่วนตัวมีบอร์ดี้การ์ดชั้นดี
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ตนไม่มีเครื่องบิน บอร์ดี้การ์ดก็ไม่มี ผมไม่กลัว เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว เรื่องอย่างนี้ผมโดนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่เป็นไร”
เมื่อถามว่าจะหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้หรือไม่
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ผมพร้อมเจรจากับทุกคน คิดดูขนาดคนอย่างคุณจอมยังติดต่อผมได้ แล้วคนที่มีอำนาจในประเทศจะติดต่อผมไม่ได้หรือ ขนาดคนขับแท็กซี่ ตำรวจชั้นผู้น้อยยังมีเบอร์ผม โทรมาผมผมก็คุยผมคุยกับทุกคน แต่คนเดียวที่ไม่มีเบอร์ผมก็คือ คนในทำเนียบรัฐบาล ยืนยันผมคุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือรองนายกฯแม้ว่าจะหน้าดำผมก็คุย”
เมื่อถามว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โทรมาหาท่านขอความร่วมมือให้ท่านหยุดเคลื่อนไหวแล้วทุกอย่างจบ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “จะร่วมมือกันอย่างไรบอกมา ตนยินดี จะให้ทำอะไร และรัฐบาลต้องบอกว่าจะทำอย่างไรด้วยเพื่อให้เกิดความปรองดองทุกฝ่าย ไม่ใช่ปรองดองเพียงฝ่ายเดียว ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสมด้วย”
เมื่อถามว่า หากนายกฯบอกว่าท่านต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า “ต้องถามว่ากระบวนการตอนนี้มันยุติธรรมจริงหรือไม่ และจะกำหนดความยุติธรรมอย่างไร ตนเชื่อว่า ศาลส่วนใหญ่ยุติธรรม แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกแทรกแซง และนายอภิสิทธิ์ก็เข้าไปแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีคนที่มีอิสระเหนือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ที่จริงเรื่องที่ถ้าบ้านเมืองมีความสมดุล มีการถ่วงดุลที่ดีบ้านเมืองจะเดินไปได้ แต่ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเพียงต้องการจะล้มตนเท่านั้น ที่จริงเมื่อครั้งนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกให้หยุด ให้เลิกเพราะชนะมากไปแล้ว ก็หยุดก็จะวางมือ ไม่ใช่ว่าตนอยากจะอยู่ เพียงแต่ว่าต้องการทำภารกิจที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ตอนนี้ตนอยู่เมืองนอกก็มีความสุขดี ไม่มีความเครียดอะไร มีคนหาว่าตนไปทำคลีโม แต่หน้าตนตอนนี้ใสมาก”
ที่มา http://www.matichon.co.th/
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
จุดยืนและก้าวย่าง
จุดยืนและก้าวย่าง
บทความล่าสุดเผยความในใจของจักรภพ เพ็ญแข คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร ในหนังสือพิมพ์ “ไทยเรดนิวส์” ฉบับที่ 14
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง
หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป
ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับ
ระบอบ ประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติ
เรา อยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหาร โดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น
ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้
มี ผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉา ริษยาแกนนำไปโน่น
คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ
ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้
แต่ รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผล ต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน
1. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
2. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
3. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
4. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
5. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่า
สังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง 5 ข้อนี้หรือไม่
ทั้ง หมดนี้คือความละเอียดอ่อน ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาล ภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้
ชนะ เลือกตั้งอย่างงดงาม แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานใน ราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์
เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของ ประชาชนหรือไม่
เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง 5 ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่
ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์
หลาย ท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติ
ผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อ
สังคม ไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วม ในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่ และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่ อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้น
รัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมา จากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้
รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว
ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตย
ถ้า เราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืนประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่ต้น
แล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย
ไม่ ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชน
เพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อ
เป้า หมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร.ศ. 130 และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.2475 ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้
ความใหม่ ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความ หมายแล้ว
ครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้
กว่า สามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือ
ที่สุดแล้วคืออะไร?
จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว
สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลก
ก้าว ย่าง คือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลัก
ขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
จากโพสต์กระทู้ของคุณ redthaigirl ในเว็บบอร์ดประชาไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)